Downfall CHAPTER THREE

CHAPTER THREE

นิโคลัสนั่งอยู่ในห้องพักของตัวเองโดยมีเคซี่อยู่เป็นเพื่อน หญิงสาวมีสีหน้าไม่พอใจที่จู่ ๆ ลุงของตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัย แฮริสันไม่ยอมให้อีกฝ่ายออกจากห้องไปไหนจนกว่าจะตรวจสอบห้องของเลสเตอร์เสร็จ

ศาตราจารย์นั่งเงียบอยู่เช่นนี้มาครู่ใหญ่แล้ว เขายังจดจำลูกตาที่จ้องมองมาได้เป็นอย่างดี ใครกันที่โหดร้ายถึงขั้นควักลูกตาคนได้ ที่สำคัญเจ้าของดวงตานั่นอยู่ที่ใดและเหตุใดปีเตอร์สันถึงอยู่ในห้องของเลสเตอร์ได้

“ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้นะ” เคซี่ถอนหายใจ ความรู้สึกตื่นเต้นยินดีที่จะได้แต่งงานหายไปสิ้น เหลือแต่ความรู้สึกหวาดกลัวจนอยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

“พรุ่งนี้ก็คงมีคนมาช่วยแล้วล่ะ” เขาเอ่ยปลอบแม้รู้ดีว่าไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะถึงตอนนี้อะไร ๆ ก็ไม่แน่นอนยิ่งไม่รู้ว่าคนร้ายต้องการสิ่งใดจากเรื่องนี้ยิ่งไม่ปลอดภัยขึ้นเรื่อย ๆ

“ไม่รู้เทรเวอร์จะเป็นไงบ้าง” หญิงสาวพึมพำถึงเพื่อนคนเดียวที่มีความรู้ทางการแพทย์ที่อาจช่วยตอบสาเหตุการตายของคนเหล่านั้นได้
ที่ห้องของเลสเตอร์เหลือเพียงแฮริสันและเทรเวอร์เท่านั้นขณะที่แพทริคกำลังสร้างความเข้าใจให้กับแขกคนอื่น ๆ ที่เริ่มแตกตื่นจากการที่แม่บ้านไปตามเจ้าของโรงแรมขึ้นมาที่ห้องพัก

“คุณสงสัยศาสตราจารย์แบรดลีย์แต่ก็ยังอยากให้ผมตรวจศพเหรอครับ” ชายหนุ่มถามด้วยสายตาจับผิดเมื่ออีกฝ่ายยืนยันชัดเจนว่าชายคนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกระนั้นท่าทีของแฮริสันก็ดูแปลกไป อาจเพราะเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้ติดต่อกันก็เป็นได้

“ถึงอย่างไรก็อยากรู้สาเหตุการตายของคุณปีเตอร์สัน เหตุใดเขาถึงมาอยู่ในห้องของคุณเลสเตอร์ได้ ที่สำคัญเจ้าตัวหายไปไหน แถมยังลูกตานั่น…”

เทรเวอร์มองตามสายตาของอีกฝ่ายไปและหยุดลงยังลูกตาทั้งสองที่วางอยู่บนอ่างอย่างจงใจ

“ตาสีฟ้าจะเป็นของคุณเลสเตอร์หรือเปล่าครับ”

“ตอนนี้เราคงต้องคิดเช่นนั้นไปก่อน เธอว่าเขาเสียชีวิตแล้วหรือยัง”

ชายหนุ่มมองสภาพห้องน้ำโดยรอบ น่าแปลกที่ไม่มีเลือดเยอะอย่างที่เขาคิด เป็นไปได้ว่าคนร้ายจะล้างไปแล้ว

“ผมหวังว่าเขายังไม่ตาย” เทรเวอร์ตอบพลางสำรวจดวงตาสองลูกใกล้ ๆ “อย่างน้อยตอนถูกควักลูกตาเขาก็ยังมีชีวิตอยู่”

“แล้วคุณปีเตอร์สันล่ะ” แฮริสันมองร่างไร้วิญญาณที่นอนหงายบนพื้นห้องน้ำ

เทรเวอร์มองตาม เขาตรวจสภาพอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้วและไม่พบบาดแผลภายนอกแต่อย่างใด ปีเตอร์สันตายเพราะขาดอากาศจากการจมน้ำ

“เป็นไปได้ไหมว่าจะโดนวางยา” แฮริสันถามขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไปดูถาดอาหารที่แม่บ้านนำมาเสิร์ฟ

“ตอนมาเสิร์ฟคุณเลสเตอร์ให้แม่บ้านวางหน้าห้อง เป็นไปได้ไหมว่าคนร้ายใช้โอกาสนั้นวางยา”

“ไม่ก็คนร้ายอยู่ในห้องอยู่แล้ว”

สายตาของทั้งสองสอดส่องไปทั่วห้องพยายามมองหาสิ่งผิดปกติ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้

“คุณว่าเป้าหมายของคนร้ายคือคุณปีเตอร์สันหรือคุณเลสเตอร์ครับ” เขาถามขณะกำลังเดินสำรวจ อีกฝ่ายมองด้วยความประหลาดใจเห็นเช่นนั้นเทรเวอร์จึงพูดต่อ “ผมกำลังพยายามมองหาความเกี่ยวโยงระหว่างคุณนายปีเตอร์สันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในนี้ ถ้าเรารู้ก็อาจช่วยหาตัวคนร้ายได้”

ชายหนุ่มสังเกตสีหน้าของแฮริสันอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายรู้อะไรบางอย่างเพียงแต่เลือกที่จะไม่พูดออกมา

“เราคงต้องตามหาคุณเลสเตอร์และหวังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ เขาคือคนเดียวที่เห็นหน้าคนร้าย”

“สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือทำอย่างไรไม่ให้แขกตกใจไปมากกว่านี้เพราะคงปิดต่อไปไม่ได้แล้ว”

แฮริสันถอนหายใจจนไหล่ลู่อย่างเห็นได้ชัด ในฐานะเจ้าของโรงแรมและเจ้าภาพงานแต่ง นี่ไม่ใช่สิ่งที่คาดคิดเอาไว้แม้แต่น้อย เขาต้องหาทางพูดเกลี้ยกล่อมแขกให้เข้าใจสถานการณ์และสร้างความมั่นใจว่าทุกคนจะต้องปลอดภัยและรอการช่วยเหลือในวันพรุ่งนี้ที่เขาจะส่งพนักงานออกไปข้างนอก ทว่าตัวเขาก็ไม่ได้รู้สึกปลอดภัยแต่อย่างใด ตราบใดที่ไม่รู้แรงจูงใจก็ไม่อาจสาวถึงคนร้ายได้ เขาทอดสายตามองไปทางห้องน้ำอีกครั้งพยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แฮริสันสั่นศีรษะเบา ๆ ก่อนให้เทรเวอร์ตามคนมาช่วยเคลื่อนย้ายศพไปไว้ที่ห้องเย็นที่เดียวกันกับที่ ๆ พวกเขาเก็บศพคุณนายปีเตอร์สันไว้
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เคซี่เป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูและพบว่าเป็นเทรเวอร์

“ขอคุยกับคุณลุงเธอได้ไหม”

“อืม” หญิงสาวขานรับก่อนถามถึงเรื่องปีเตอร์สัน เทรเวอร์สรุปคร่าว ๆ ให้เธอฟังว่าอีกฝ่ายตายด้วยสาเหตุใดก่อนบอกให้ลงไปที่ห้องอาหารที่แฮริสันกำลังคุยกับแขกอยู่

“แฮริสันไม่ได้คิดว่าคุณลุงเป็นคนทำหรอก จริงไหม” เคซี่ถามอย่างขอความเห็น ชายหนุ่มเพียงแค่พยักหน้าก่อนเดินเข้าไปในห้องสวนทางกับหญิงสาวที่กำลังเดินออกไป

เมื่ออยู่ตามลำพังเทรเวอร์จึงหันเข้าไปในห้อง เห็นศาสตราจารย์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างสายตาเหม่อลอยคล้ายตกอยู่ในห้วงความคิด

“ศาสตราจารย์ครับ?” เขาทักขึ้นเรียกดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นให้หันมาสบตา ขอบตาคล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดียวกับสีหน้าอิดโรย “คุณพักก่อนก็ได้นะครับ ผมจะบอกแฮริสันให้”

“ผมยังเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่เหรอ” นิโคลัสถามด้วยเสียงเรียบเฉยไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

“เขาแค่อยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้นครับ คุณเล่าให้ผมฟังได้ไหม” เทรเวอร์ถามขึ้นแต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเขาก็อธิบายต่อทันที “ผมไม่คิดว่าคุณทำ คุณอยู่กับผมตอนที่เกิดเหตุ เป็นคุณไม่ได้หรอกครับ แต่ทำไมคุณถึงไปอยู่ในห้องนั้นได้”

มุมปากคนฟังกระตุกขึ้นเล็กน้อยก่อนพูดขึ้น

“ผมเห็นประตูห้องเปิดอยู่เลยอยากคุยกับคุณเลสเตอร์ อาจจะช่วยให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้นแต่พอไปถึงผมก็เห็นเขาอยู่ในสภาพนั้นแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือคุณปีเตอร์สัน เธอคิดว่ายังไงล่ะ”

นิโคลัสมองเห็นสายตาจริงจังจากอีกฝ่ายทั้งยังโน้มตัวเข้าใกล้เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางระมัดระวัง

“ตอนผมอยู่ในห้องกับแฮริสัน ผมรู้สึกเหมือนเขารู้อะไรบางอย่าง” เขาเล่าขึ้น “ผมลองถามความเห็นจากเขาว่าเป้าหมายของคนร้ายแท้จริงแล้วคือคุณเลสเตอร์หรือคุณปีเตอร์สันกันแน่ ถึงเขาไม่ได้ตอบแต่สีหน้าของเขาเหมือนรู้บางอย่าง ผมเลยคิดว่าบางทีเป้าหมายอาจอยู่ที่คุณเลสเตอร์ก็ได้แล้วคุณปีเตอร์สันแค่อยู่ผิดที่ผิดเวลา”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ฆ่าคุณเลสเตอร์ด้วยแต่กลับควักลูกตา” จนถึงตอนนี้นิโคลัสยังจำภาพนั้นได้เป็นอย่างดี ราวกับถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองอยู่ตลอดเวลา

“คุณนายปีเตอร์สันถูกตัดลิ้น คุณเลสเตอร์ถูกควักลูกตา ผมไม่คิดว่าพวกเขาตายเพราะเรื่องชู้สาวแต่ทั้งสองคนมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน”

คนฟังพยายามคิดตามก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้น เห็นเช่นนั้นเทรเวอร์ก็ยกยิ้มแสดงความมั่นใจในตัวเองพร้อมกับพยักหน้า

“บริษัทของแคมป์เบล” นิโคลัสพึมพำ “ก็เป็นไปได้ว่าแฮริสันอาจจะรู้อะไรบางอย่างจริง ๆ แต่เขาไม่พูดอะไรแน่”

“ผมก็คิดอย่างนั้น เราคงต้องสืบเรื่องนี้กันเอง”

ศาสตราจารย์มองเห็นสีหน้าซุกซนจากชายหนุ่ม ดวงตาสีดำวาวโรจน์ใต้แว่นกรอบดำกำลังแสดงความรู้สึกสนุกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ริมฝีปากยกยิ้มพึงพอใจที่ทำเอานิโคลัสรู้สึกไม่ดีกับภาพที่เห็นขึ้นมา เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย การสูญเสียคนสำคัญในครอบครัวอย่างกะทันหันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ เหตุการณ์เช่นนั้นย่อมเปลี่ยนชีวิตคนได้ การตายของเจคเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร สำหรับเทรเวอร์แล้วเปลี่ยนไปเช่นไร

“ผมถามอะไรอย่างนึงได้ไหม”

“ได้สิครับ”

“ทำไมเธอถึงตัดสินใจเรียนนิติเวชล่ะ ส่วนมากแล้วถ้าเรียนหมอก็เพราะอยากช่วยชีวิตคนไม่ใช่เหรออย่างอายุรแพทย์หรือศัลยแพทย์” นิโคลัสรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเลือกเรียนเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่ชายของตน แต่เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะเปิดใจพูดเรื่องนี้

“เพราะคนส่วนมากเรียนเป็นหมอที่ช่วยชีวิตคนไม่ใช่เหรอครับ ผมเลยเรียนในสิ่งที่คนส่วนมากไม่เรียน” เทรเวอร์อมยิ้มก่อนที่นิโคลัสจะได้ทันพูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ศาสตราจารย์รู้ดีว่านั่นคือแฮริสัน

คุณหมอหนุ่มเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูให้ สีหน้าแฮริสันบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านสมรภูมิคำถามจากแขกผู้เข้าพักอีกฝ่ายทักนิโคลัสก่อนนั่งลงแทนที่ของเทรเวอร์

“เธอไปพักเถอะ เทรเวอร์” แฮริสันเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ผมใช้เวลาไม่นานหรอก”

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่เป็นเพื่อนศาสตราจารย์” คำตอบของเทรเวอร์ทำให้คนถูกพาดพิงหันมองด้วยความสงสัย แต่เสียงคำถามของแฮริสันดังขึ้นก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร

อีกฝ่ายไม่ได้สงสัยในตัวนิโคลัสเหมือนตอนแรกที่พบกันในห้องของเลสเตอร์ แฮริสันเพียงแค่ต้องการความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น ศาสตราจารย์จึงเล่าในสิ่งที่เขาบอกกับเทรเวอร์ไป

“ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องเจอเรื่องแบบนี้ครับ ศาสตราจารย์” เจ้าของโรงแรมเอ่ยอย่างสุภาพ วันนี้เขาคงพูดเช่นนี้มาหลายครั้งแต่ความจริงใจก็ยังคงอยู่ “พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นครับ”

แฮริสันให้ความมั่นใจพลางลุกขึ้นยืนก่อนจะขอตัวออกจากห้อง นิโคลัสลุกขึ้นตาม

“แล้วเรื่องของคุณเลสเตอร์ล่ะครับ”

คำถามนั้นทำให้ฝีเท้าของเจ้าของโรงแรมชะงักไปครู่หนึ่ง อีกฝ่ายตอบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

“ผมคงต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของคนที่ยังอยู่มากกว่าครับ”

แฮริสันเดินออกจากห้องทิ้งให้นิโคลัสกับเทรเวอร์ได้แต่มองตากันด้วยความสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขามีความเห็นตรงกันว่าเจ้าของโรงแรมคนนี้ปกปิดเรื่องบางอย่างไว้ที่อาจสำคัญต่อการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในโรงแรมแห่งนี้

ศาสตราจารย์นั่งลงที่เดิมและพบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในห้อง

“เธอควรไปพักได้แล้วนะ ไม่มีอะไรแล้วนี่”

“ผมอยากแน่ใจว่าคุณจะไม่เป็นไร”

นิโคลัสสัมผัสได้ถึงความห่วงใยผ่านน้ำเสียง เขายิ้มบางด้วยความรู้สึกขอบคุณ

“ผมไม่…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบเทรเวอร์ก็เดินเข้ามาปิดปากเขาด้วยริมฝีปากอันอบอุ่น นิโคลัสตกใจยืนตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนรีบผลักอีกฝ่ายออก

“เธอออกไปได้แล้วเทรเวอร์” ศาสตราจารย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมสั่งโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา

“ผม…”

“กรุณาออกไปด้วยครับ นพ. คาเวนดิช”

ความห่างเหินที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เทรเวอร์ได้แต่มองหน้าศาสตราจารย์ที่ไม่แม้แต่จะสบตาเขา

“ผมไม่ขอโทษหรอกนะครับ” ชายหนุ่มทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไป

นิโคลัสมองตามประตูที่ปิดลงก่อนทิ้งตัวลงนั่งกับเตียงนอน ความสนิทสนมก่อให้เกิดการเข้าใจผิดและสร้างความหวังให้กับคนอื่น การที่เขาไม่ได้จูบตอบน่าจะบอกอะไรได้มากแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร แต่สีหน้าของเทรเวอร์กลับยังมั่นใจและแสดงออกว่ายังไม่ยอมแพ้

บางทีอีกฝ่ายคงเหนื่อยและอ่อนล้าอย่างไม่รู้ตัวถึงได้ทำอะไรพละการเช่นนั้น

นิโคลัสลุกเดินไปยังห้องน้ำพยายามสลัดความคิดทุกอย่างออกระหว่างอาบน้ำแต่สภาพศพทั้งสองที่เขาเห็นมันยากนักที่จะลืมเลือนได้ เขาเดินออกจากห้องน้ำนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ขณะมองเสื้อผ้าที่จะใส่เขาก็ตัดสินใจสวมชุดที่แสดงออกชัดเจนว่าจะไม่นอน

นิโคลัสปิดไฟและเดินออกจากห้อง โถงทางเดินค่อนข้างมืดเพราะไม่ได้เปิดไฟแต่เขาก็พกไฟฉายติดตัวมา

“ศาสตราจารย์”

คนถูกทักสะดุ้งเฮือกเมื่อหันไปก็พบเทรเวอร์นั่งอยู่หน้าห้องด้วยสภาพเดียวกันกับล่าสุดที่เห็น

“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้” เขาถามโดยพยายามปรับน้ำเสียงเพื่อรักษาน้ำใจอีกฝ่าย

“คุณบอกให้ผมออกมาข้างนอก ไม่ได้บอกให้กลับห้องนี่ครับ” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบพร้อมลุกขึ้นยืน สายตาที่นิโคลัสใช้มองสื่อถึงความไม่พอใจที่เทรเวอร์เล่นลิ้นใส่ ชายหนุ่มยิ้มบาง “ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณโกรธ ผมแค่คิดว่าคืนนี้คุณคงไม่อยากนอนและออกมาข้างนอกมากกว่าถึงได้นั่งรอ”

ศาสตราจารย์ไม่ตอบสิ่งใด เขาเปิดไฟฉายเดินไปทางบันใดทันทีเห็นเช่นนั้นเทรเวอร์ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายยินดีจะให้เขาเป็นเพื่อนร่วมทาง

“แต่เรื่องนั้นผมไม่ขอโทษหรอกนะครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่อีกฝ่ายไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนองกลับมาทั้งที่ได้ยินคำพูดเขาอย่างแน่นอน เห็นอย่างนั้นเทรเวอร์จึงเปลี่ยนเรื่อง “คุณคิดจะไปหาคุณเลสเตอร์ที่ไหนครับ เราคงไม่สามารถเปิดห้องทุกห้องดูได้”

“ผมกำลังคิดถึงแบบแปลนโรงแรมนี้” เขาเอ่ยพร้อมมองกรอบรูปแปลนชั้นสามที่แขวนอยู่ด้านหน้าบันใด “ก่อนเป็นโรงแรม ที่นี่คือคฤหาสน์เก่าเป็นไปได้ไหมว่ามีการดัดแปลงไปจากเดิม”

“เห็นแพทริคบอกว่ามีการปรับเปลี่ยนภายในให้เหมาะกับโรงแรมแต่ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างหลักใด ๆ แค่ทำให้มันแข็งแรงขึ้น” เทรเวอร์ตอบ “ผมถามแฮริสันถึงแปลนที่นี่ตั้งแต่ตอนแรกที่เราตามหาคุณนายปีเตอร์สันแล้วครับ แปลนนั่นอยู่ที่บริษัท ที่นี่มีแค่แบบแปลนที่แสดงตามชั้นเท่านั้น”

“แล้วแบบแปลนเดิมของคฤหาสน์ล่ะ” นิโคลัสถามพร้อมหันมองคู่สนทนา “อาจจะยังมีอยู่ในนี้ก็ได้ ถ้าหากแฮริสันเก็บภาพถ่ายของเจ้าของคนเดิมที่แขวนอยู่ตรงบันใดชั้นล่างไว้ก็อาจเก็บข้าวของส่วนตัวไว้ตามเดิมเช่นกัน”

“ถ้าเรามีแปลนเดิมก็อาจรู้ได้ว่าคนร้ายซ่อนตัวอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะเดินตามศาสตราจารย์ลงไปด้านล่าง

“การที่เรายังหาตัวเขาไม่เจอก็เป็นไปได้ว่าคนร้ายจะรู้จักพื้นที่ภายในนี้เป็นอย่างดีแล้วก็ต้องเกี่ยวข้องกับคนในบริษัทด้วย แต่สาเหตุล่ะ…”

จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้สาเหตุที่ทำให้คนร้ายลงมือฆ่าคนไปแล้วถึงสองคนและอีกคนที่ยังหาตัวไม่พบ แม้พอคาดการณ์ได้ว่าเกี่ยวข้องกับบริษัทแคมป์เบลแต่ก็ยังหาจุดเชื่อมโยงไม่ได้

“นี่อาจเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะมีโอกาสหาตัวคนร้าย เพราะถ้าออกไปจากที่นี่ได้ ผมไม่คิดว่าเราจะหาเขาเจออีก”

“ถ้าคนร้ายยอมให้เราออกไปนะครับ” นิโคลัสหันมองคนพูดด้วยสายตาคำถาม เขาจึงพูดต่อ “คนร้ายลงทุนตัดสายโทรศัพท์ เจาะยางรถ ทิ้งให้เราอยู่ในโรงแรมที่เบื้องหน้าคือป่าด้านหลังคือทะเล เขาตั้งใจตัดขาดเราจากภายนอก ผมไม่คิดว่าเขาจะปล่อยเราไปง่าย ๆ”

“เธอกำลังจะบอกว่าคนร้ายจะลงมืออีก” ศาสตราจารย์รู้สึกขนลุกชันไปทั่วร่างอาจเพราะอุณหภูมิที่ลดลงกะทันหันก็เป็นได้

“ผมแค่พูดถึงความเป็นไปได้ครับ” เทรเวอร์ตอบ

ทั้งสองเดินลงมาถึงชั้นล่างโดยอาศัยแสงไฟจากไฟฉายในมือของนิโคลัส ที่ล็อบบี้ปราศจากผู้คนเช่นเดียวกับบริเวณเคาน์เตอร์ต้อนรับราวกับทั้งชั้นถูกทิ้งร้าง บรรดาแขกคงกลับขึ้นห้องของตัวเองไปกันหมดเพราะไม่น่าจะมีที่ไหนปลอดภัยเท่าห้องพักของตัวเองอีก

“ทางนั้นมีห้องทำงานอยู่ ไม่แน่ว่าอาจเจออะไรที่นั่น” เสียงของชายหนุ่มทำเอาศาสตราจารย์สะดุ้งเล็กน้อย เขาสลัดความกลัวทิ้งก่อนจะเดินไปตามทางที่อีกฝ่ายแนะนำ

เขายังไม่มีโอกาสได้เดินสำรวจโรงแรมแห่งนี้มากมายนักนอกเสียจากตอนตามหาคุณนายปีเตอร์สัน พวกเขาเดินผ่านห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือวางเรียงอยู่บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ ศาสตราจารย์อดไม่ได้ที่จะฉายไฟไปยังสันหนังสือเหล่านั้นด้วยความสนอกสนใจ

“ผมยินดีที่จะถูกขังอยู่ในห้องนี้ทั้งวันทั้งคืนเลยล่ะ”

“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ศาสตราจารย์” เทรเวอร์ตักเตือนแต่ในน้ำเสียงแฝงการหยอกล้อเอาไว้ “แต่ห้องแบบนี้เหมาะกับการมีห้องลับซ่อนอยู่นะครับ”

“ดูหนังมากเกินไปแล้วนะคุณหมอ”

ชายหนุ่มรีบหันมองคนพูดเพราะมันเป็นประโยคที่ใกล้เคียงกับการหยอกล้อมากที่สุดเท่าที่เคยได้ยินจากชายคนนี้ เขาอมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

“อยู่คฤหาสน์เก่า ๆ แบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอครับ”

นิโคลัสส่องไฟฉายไปยังชั้นวางหนังสือก่อนส่ายศีรษะให้กับความคิดโง่เขลาของตัวเอง ห้องลับที่ว่านั่นคงมีแต่ในหนังเท่านั้น

ชายทั้งสองเดินต่อไปยังห้องที่อยู่ติดกันซึ่งมีทั้งโต๊ะทำงานขนาดใหญ่และชั้นวางหนังสือโดยรอบแสดงให้เห็นถึงนิสัยรักการอ่านของเจ้าของบ้าน

ศาสตราจารย์เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานโล่งโจ้งคงมีการทำความสะอาดไปก่อนที่โรงแรมจะเปิด ไม่มีแม้กระทั่งภาพถ่ายครอบครัวของเจ้าของบ้านตั้งอยู่ สายตาของเขาสำรวจไปรอบห้องโดยอัตโนมัติซึ่งนับว่าแปลกที่แฮริสันจะสั่งเก็บทุกอย่างที่เป็นของดั่งเดิมของบ้าน เพราะประวัติของคฤหาสน์น่าจะเป็นจุดดึงดูดของแขกผู้เข้าพักได้

เขาเปิดลิ้นชักเพื่อสำรวจข้าวของ ภายในว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีคนใช้งาน

“คุณหมอ” นิโคลัสเรียกขึ้น

“ครับ” อีกฝ่ายตอบรับจากชั้นหนังสือ ท่าทางจดจ่ออยู่กับการหาห้องลับ

“มันต้องมีสักทีที่คุณแฮริสันใช้เก็บข้าวของของเจ้าบ้านถูกไหม เขาไม่น่าขนย้ายออกไปได้หมด”

“ห้องเก็บของเหรอครับ ก็ไม่แน่” ชายหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด ระหว่างนั้นเสียงจากนาฬิกาโบราณก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของทั้งคู่ออกไปยังต้นเสียง “เที่ยงคืนแล้วนะครับ”

“เธอคงยังไม่ง่วงหรอกใช่ไหม” ศาสตราจารย์ทักกลับ คนหนุ่มเพียงแค่อมยิ้มแล้วเดินตามอีกฝ่ายออกจากห้องทำงาน

พวกเขาเดินย้อนกลับมาจนถึงล็อบบี้ ขณะที่นิโคลัสกำลังจะเดินเลยไปเทรเวอร์ก็ทักขึ้น

“ศาสตราจารย์ครับ หลังเคาน์เตอร์มีประตู”

หนุ่มใหญ่มองตามแสงไฟไปยังบานประตูด้านหลังหลังเคาน์เตอร์ซึ่งคงเป็นห้องพักผ่อนของพนักงานก่อนหันมองหน้าคนพูด

“มันอาจมีอะไรในห้องนั้นก็ได้ในเมื่อมันเป็นห้องสำหรับเจ้าหน้าที่เท่านั้น” ความเห็นของชายหนุ่มส่งผลให้นิโคลัสคล้อยตาม เขาพยักหน้าก่อนเดินไปเปิดประตูไม้ดังกล่าว

ภายในเป็นเหมือนห้องทำงานทั่วไป มีโต๊ะทำงาน มีโซฟาพักผ่อน แต่สิ่งที่สะดุดตาคือประตูด้านข้างที่มองจากด้านนอกของห้องแล้วไม่น่ามีประตูอยู่ตรงนี้ได้

“ห้องใต้ดิน” เทรเวอร์หันมาทางศาสตราจารย์ที่พยักหน้าบอกให้ลองเปิดประตูดู “ล็อค”

ได้ยินเช่นนั้นนิโคลัสก็เดินไปยังห้องทำงานซึ่งแยกต่างหากจากบริเวณที่พักผ่อนของพนักงาน ภายในห้องมีกระดานติดฝาผนังเต็มไปด้วยกุญแจสำหรับห้องต่าง ๆ ในอาคารแห่งนี้ ทุกดอกล้วนมีข้อความกำกับไว้ด้านบนยกเว้นลูกกุญแจที่อยู่มุมขวาล่าง ลักษณะของมันเก่าแก่แตกต่างจากกุญแจดอกอื่น ๆ

เขาเดินกลับไปยังประตูที่พบพร้อมกุญแจดอกนั้น ขนาดของมันพอดิบพอดีกับบานประตู กลิ่นอับและฝุ่นละอองโชยมาทันทีที่ประตูไม้บานนั้นถูกเปิด ด้านหน้าเป็นบันไดทอดลงไปสู่ความมืดมิด

ชายหนุ่มควานหาสวิตช์ไฟจากด้านข้างทว่าหลอดไฟคงขาดจึงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

“ศาสตราจารย์ไม่กลัวความมืดใช่ไหมครับ”

คนถูกถามส่ายหน้า อย่างน้อยเขาก็มีแสงไฟจากไฟฉายที่พกติดตัวมาด้วยแม้ตัวกระบอกจะเริ่มร้อนเมื่อถูกเปิดใช้มาเป็นระยะเวลานานแล้วก็ตาม

เทรเวอร์เป็นฝ่ายเดินลงไปก่อน เสียงไม้ลั่นสร้างความพรั่นพรึงจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ศาสตราจารย์ปิดประตูไล่หลังทำให้การมองเห็นถูกจำกัดด้วยแสงจากไฟฉายในมือและแสงสีขาวจากมือถือของชายหนุ่ม

“คุณว่าจะมีอะไรอยู่ในนี้” เสียงคำถามแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบชวนให้นิโคลัสระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม

“ผมไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ถ้าเราเจอคุณเลสเตอร์ที่นี่”

“ถ้าเราเจอเขาจริง อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่ายังปลอดภัยหรือเปล่า” เสียงคำตอบฟังดูห่างไกล เบื้องหน้าของศาสตราจารย์เต็มไปด้วยความมืดมิดเมื่ออีกฝ่ายเดินนำลงบันไดไปก่อนหน้า

จู่ ๆ เขาก็ขนลุกชันขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ อะไรทำให้เขาไว้ใจผู้ชายคนนี้ถึงขั้นตามมาที่นี่ด้วยกัน ในห้องใต้ดินแบบนี้จะมีใครได้ยินเสียงร้องของเขาบ้าง

นิโคลัสส่ายศีรษะ เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทแคมป์เบล ไม่มีเหตุจำเป็นใด ๆ ที่ต้องทำร้ายเขา เว้นเสียแต่ว่าเขากำลังเข้าใกล้ความจริง

“ศาสตราจารย์”

เสียงเรียกจากด้านล่างดึงสติของเขากลับสู่ความเป็นจริง ความเหนื่อยล้าคงทำให้สมองของเขาทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพถึงได้สงสัยหมอหนุ่มคนนี้ขึ้นมา

ลมหายใจที่สูดเข้าปอดแสบร้อน เต็มไปด้วยฝุ่นละออง นิโคลัสรวบรวมความกล้าเดินตามเสียงเรียกสู่ความมืดมิดของห้องใต้ดิน

Leave a comment