The Cause of Love between Darren and Isaac Track 3: Hero

Track 3

Hero

“ว่าไง สรุปจะไปประกวดร้องเพลงไหม”

บอนนี่เรียนคนละห้องกับไอแซคแต่เธอมักแวะมาหาตลอดทั้งช่วงพักและหลังเลิกเรียน

“ไม่รู้เหมือนกัน” เขาตอบตามตรงพลางหยิบถุงมือหนังขึ้นมาสวม แม้ในห้องเรียนจะอบอุ่นแต่อากาศด้านนอกแตกต่างกันอย่างลิบลับ เพียงแค่มีลมปะทะหน้ามาวูบเดียวก็ถึงกับต้องก้มหน้าหลบ

“เธอมีถุงมือหนังตั้งแต่เมื่อไร”

ไอแซคไม่รู้ว่าอะไรดีกว่ากันระหว่างการที่เธอตื้อต่อเรื่องประกวดร้องเพลง หรือถามถึงเรื่องเจ้าของถุงมือคู่นี้ ใช่ว่าบอนนี่จะไม่รู้เรื่องที่เขาแอบชอบคนในรถไฟ…คนที่อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามเขา แม้ว่าเธอจะทราบจากปากของเขาโดยตรงแต่เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาเล่าเรื่องนี้กับคนที่ติดตามเขาในยูนาว มันเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดเรื่องนี้กับคนแปลกหน้าที่อาจไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากัน กระนั้นเขาก็ไม่เคยระบุว่าคนในรถไฟเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย มีรูปร่างหน้าตาแบบไหน คนเหล่านั้นรู้ว่าเขาเจอคนในรถไฟอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เคยได้ทักทายกัน

เด็กหนุ่มคิดว่าความเงียบของเขาจะเป็นการตอบคำถามแต่เห็นได้ชัดว่าบอนนี่ต้องการคำตอบถึงยังมองหน้าอยู่แบบนั้น

“มีคนให้ยืม” ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ถามอะไรต่อเขาก็เปลี่ยนเรื่อง “ฉันจะไปเลสเตอร์ สแควร์ ไปด้วยกันไหม”

“แน่นอน แต่หนาวแบบนี้จะไหวเหรอ” เด็กสาวขยับผ้าพันคอของตัวเองขึ้นปิดจมูก

“ได้ร้องสักเพลงสองเพลงก็ยังดี…ถ้าไม่ปากแข็งไปก่อนล่ะก็นะ” คำตอบของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากเธอ ทั้งคู่เดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อมุ่งหน้าไปยังเลสเตอร์ สแควร์

แม้อากาศจะหนาวเย็นแต่จำนวนนักท่องเที่ยวในย่านนี้ก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด บริเวณลานจัตุรัสเต็มไปด้วยผู้คนที่มานั่งพักผ่อน จับกลุ่มคุยบ้าง นั่งกินขนมบ้าง ไอแซคเดินมาประจำจุดของตน เพียงแค่ถอดถุงมือออกก็รู้สึกถึงความหนาวเหน็บเสียดแทงผ่านผิวหนังได้เป็นอย่างดีเขาบรรจงตั้งสายกีตาร์พร้อมวอร์มเสียงของตัวเองไปพลาง ๆ ขณะที่บอนนี่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป

“ทำอะไรน่ะ”

“เอาลงทวิตเตอร์เพื่อเรียกแฟนคลับยังไงล่ะ” เธอพิมพ์บางอย่างลงบนมือถือด้วยความรวดเร็ว “หืม เมื่อคืนเธอนอนกี่โมงเนี่ย”

บอนนี่คงจะเห็นทวีตล่าสุดของเขาที่แนบลิ้งค์รายการสดไปด้วย สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอสมาร์ทโฟน “ไอแซค เธอพูดอะไรเกี่ยวกับคนในรถไฟเหรอ”

เด็กหนุ่มละสายตาจากการตั้งเสียง สาวเท้าเข้าไปใกล้เธอเพื่ออ่านข้อความที่ส่งมาหาเขา ไอแซคจำได้ว่านั่นเป็นชื่อของจูเลีย

“ก็…ไม่ได้พูดอะไรมาก” เขาหลบสายตา ทำเป็นสนใจกีตาร์ตัวเอง

“พวกนั้นรู้มากขนาดไหนเหรอ” น้ำเสียงของบอนนี่ไม่ได้แสดงความคาดคั้น เป็นเพียงความสงสัยเท่านั้น

“พวกเขารู้ว่าฉันแอบชอบคนในรถไฟ” ไอแซครู้สึกถึงความร้อนที่วนเวียนอยู่บนใบหน้าของเขา “พวกเขาไม่รู้เรื่องของฉัน

“ฉันไม่ได้ว่าอะไรนะ” บอนนี่รีบพูด “ฉันแค่ไม่อยากให้เธอถูกคุกคามความเป็นส่วนตัวก็เท่านั้น บางคนเขาเข้าใจเธอก็จริง แต่บางคนก็ไม่รู้จักขอบเขตว่าอะไรควรไม่ควร”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะระวัง”

“แต่ดูเหมือนว่าฉันจะตกข่าวไปนะ” เด็กสาวส่งยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ฉันจะถ่ายคลิปด้วย พร้อมยัง”

“โอเค”

ไอแซคดีดกีตาร์สองสามทีก่อนจะเริ่มบรรเลงเป็นท่วงทำนอง เพลงที่เขาร้องส่วนมากจะเป็นเพลงที่เปิดตามรายการวิทยุอยู่บ่อยครั้ง เขาได้รู้จักเพลงมากขึ้นผ่านทางข้อความในรายการสด การได้พูดคุยกับคนที่ชื่นชอบเสียงเพลงของเขาสร้างกำลังใจให้กับความพยายามที่จะร้องเพลงต่อไปตราบเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ เขาอยู่กับดนตรีมายาวนานเกินกว่าจะทอดทิ้งได้ลง กระนั้นอนาคตก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน เด็กหนุ่มจึงอยากเก็บเกี่ยวทุกช่วงเวลาในชีวิตเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

เขาหลงอยู่ในบทเพลงที่กำลังร้อง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่ามีผู้คนหยุดดูเขาเพิ่มมากขึ้น ส่วนมากแล้วจะเป็นขาจรแต่ก็มีบางคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาจากการมาดูเขาร้องเพลงแทบทุกครั้ง บอนนี่หันกล้องมือถือของตนไปทางคนดูที่กำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง

เด็กหนุ่มโค้งศีรษะ เสียงปรบมือดังขึ้นทว่าเป็นเสียงกรี๊ดที่เรียกความสนใจจากเขา กลุ่มหญิงสาววัยรุ่นสามคนกำลังส่งเสียงเรียกชื่อของเขา ไอแซคทักทายพร้อมส่งยิ้มกลับยิ่งทำให้พวกเธอยิ้มหน้าบานยิ่งกว่าเดิม

“ไอแซค”

“เดวิด หวัดดีครับ” เด็กหนุ่มเข้าไปทักทายด้วยการจับมือแล้วสวมกอด

“ลองร้องเพลงนี้ด้วยกันไหม” เดวิดเปิดเพลงจากสมาร์ทโฟนของตน มันเป็นเพลงที่ไอแซคเคยได้ยินมาก่อน

“ผมแร็พไม่เป็นนะ” อีกฝ่ายมองหน้าเหมือนเขาพูดอะไรผิด “ผมคงไม่ต้องใช้กีตาร์เนอะ”

เดวิดกับทีมงานของเขาทำการวอร์มคนดูเพื่อเรียกความสนใจ บอนนี่เห็นดีเห็นงามกับการรวมตัวกันในครั้งนี้เธอเลยเก็บภาพไว้มากมาย ด้วยจังหวะเพลงส่งผลให้รอบข้างปรบมือตาม เสียงเชียร์ดังขึ้นเมื่อกลุ่มของเดวิดเริ่มเต้น ปกติแล้วไอแซคจะเป็นฝ่ายนั่งดูแต่คราวนี้เดวิดไม่ปล่อยผ่านไปเฉย ๆ เด็กหนุ่มชอบร้องเพลง เล่นดนตรี แต่การเต้นกลับไม่ใช่จุดแข็งของเขา

“สู้เขา ไอแซค!” เสียงเชียร์ดังมาจากสาววัยรุ่นกลุ่มนั้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่บอนนี่ไปสมทบกับคนเหล่านั้นด้วย สายตาของเขามองเลยไปด้านหลังก็พบดาร์เรนยืนปะปนอยู่ในกลุ่มคนดู

ใบหน้าของเขาร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ อุณหภูมิไม่ถึงสิบองศาด้วยซ้ำ

“เร็วเข้า ไอแซค ลองหน่อย แบบที่ฉันเคยสอนไง” วิลเลียมพยายามโน้มนาวให้เด็กหนุ่มเต้นให้ได้

“ทุกคนขอกำลังใจให้ไอแซคหน่อย”

เสียงร้องดังตอบรับในทันที เด็กหนุ่มมองหาดาร์เรนอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับส่งเสียงเชียร์เหมือนคนอื่น ๆ

“ไอแซค! ไอแซค!”

เขาเคยเผชิญหน้ากับความกดดันมาก่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ช่างแตกต่างจากความกดดันยามอยู่บนเวทีการประกวด หรือการร้องเพลงต่อหน้าผู้คน

กลุ่มของเดวิดยืนแถวหน้ากระดานแล้วเต้นด้วยท่าทางเดียวกัน ไอแซครู้จักท่าพวกนั้นเพราะอีกฝ่ายสอนเขาเป็นอย่างดี ทันทีที่เด็กหนุ่มขยับตัวเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นอีกครั้ง และยามที่เขาได้จับไมโครโฟน ความมั่นใจก็กลับคืนมา เสียงร้องเพลงของไอแซคและการแร็พของเดวิดเรียกความสนใจจากผู้คนเหล่านั้นได้เป็นอย่างดีราวกับมีคอนเสิร์ตขนาดย่อมจัดแสดงอยู่ เพียงแค่สามนาทีกว่าก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากรอบข้างได้

ไอแซคกล่าวขอบคุณก่อนจะส่งไมค์คืนให้วิลเลียม เสียงปรบมือตามมาอีกครั้งก่อนที่กลุ่มของเดวิดจะทำการแสดงของตนต่อ เด็กหนุ่มยกมือปาดเหงื่อนึกไม่ถึงว่าอากาศหนาวแท้ ๆ ยังทำให้เหงื่อออกได้ บอนนี่เห็นอย่างนั้นก็ส่งทิชชูมาให้

“ขอบใจ”

“ขอโทษนะคะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”

เด็กหนุ่มหันไปก็พบว่าเป็นผู้หญิงวัยรุ่นสามคนที่คอยให้กำลังใจเขาตลอด ไอแซคตอบรับทันที หลังจากนั้นเขาก็ตกอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ทยอยมาขอถ่ายรูปคู่ด้วยทั้งผู้หญิงและผู้ชาย พร้อมกับคำชมในเสียงร้องเพลงและการเต้น เขายืนคุยกับคนเหล่านั้นโดยไม่รู้สึกเหนื่อยอีกต่อไป

“เขาจะไปประกวดร้องเพลงที่ผับแถวโคเวนต์การ์เด้น อย่าลืมไปเชียร์กันด้วยนะ” บอนนี่หยิบใบปลิวออกมาจากกระเป๋าเป้ของเธอ เด็กหนุ่มได้แต่มองหน้า

“พวกเราไปแน่ค่ะ แล้วจะมาดูบ่อย ๆ นะ บาย ไอแซค บอนนี่”

หลังจากที่สาว ๆ กลุ่มนั้นเดินไปแล้ว ไอแซคก็หันไปทางเพื่อนสนิทของตน

“ประกวดร้องเพลง?”

“ฉันรู้ว่ายังไงเธอก็ไป…หวัดดีค่ะ” จู่ ๆ สายตาของบอนนี่ก็มองเลยไปด้านหลัง เมื่อไอแซคหันไปก็พบว่าเป็นดาร์เรน

“ดาร์เรน”

“ดูเหมือนเธอจะมีแฟนคลับเยอะอยู่นะ”

“ขอบคุณที่มาครับ” ไอแซคสัมผัสได้ถึงสายตาของเพื่อนสนิทที่เต็มไปด้วยคำถามที่มีต่อผู้ชายคนนี้ เขาจึงแนะนำขึ้น “ดาร์เรนทางนี้คือบอนนี่ บอนนี่ทางนี้คือดาร์เรน”

“หวัดดีค่ะ ฉันเรียนที่เดียวกันกับไอแซค” เธอจับมือเป็นการทักทาย

“ผมอยู่บ้านฝั่งตรงข้ามกับเขา” ดาร์เรนตอบกลับอย่างเป็นกันเอง

“โอ้…”

“เธอควรกลับบ้านได้แล้วนะ เดี๋ยวมืดเกินไป” เด็กสาวถลึงตามองในเมื่อปกติแล้วไอแซคจะไม่พูดแบบนี้ แต่เธอก็เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด “เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“ส่งอะไรกัน บ้านเราคนละทางนะ” บอนนี่เดินมาสวมกอดเขาก่อนจะกระซิบข้างหู “พรุ่งนี้เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”

เด็กหนุ่มสบถในใจ อีกฝ่ายต้องรู้แน่ ๆ ว่าดาร์เรนเป็นใคร เขาถอนหายใจก่อนจะบอกลาเธอ

“หิวหรือเปล่า” คำถามของดาร์เรนเรียกสมาธิของเขากลับคืนมาทว่าก็ยังไม่สามารถตอบคำถามกลับไปได้ “ฉันรู้จักร้านนึงอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเราเท่าไร แต่ถ้าเธอต้องรีบกลับ…”

“ไม่ครับ วันนี้แม่ผมทำงานสองกะ ยังไงก็ต้องหาอะไรกินเองอยู่แล้ว”

“โอเค”

ทั้งคู่เดินไปทางสถานีรถไฟใต้ดินพร้อมกัน ดาร์เรนไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาชวนอีกฝ่ายกินข้าวเย็น อาจเป็นเพราะตัวเองกำลังหิวและอีกฝ่ายก็ต้องกลับบ้านทางเดียวกันอยู่แล้ว เพียงแต่การที่เขารู้ว่าเด็กคนนี้คิดอย่างไรกับตัวเองมันทำให้เขากลัวว่าจะล่วงล้ำไปในเขตแดนที่ไม่สมควรเข้า ไม่ว่าเขตแดนนั้นมันจะเป็นอะไรก็ตาม

ทว่าลึก ๆ แล้ว เขาชอบที่จะใช้เวลากับอีกฝ่าย

ภายในสถานีรถไฟหนาแน่นไปด้วยผู้โดยสารแต่ชานชาลาก็โล่งในทันทีที่รถไฟมาถึง ดาร์เรนกับไอแซคตัดสินใจที่จะรอรถไฟขบวนถัดไป

ชายหนุ่มไม่ต้องการให้การเดินทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความอึดอัดจึงพยายามหาเรื่องคุย เขาลอบมองเด็กหนุ่มที่ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อจากการแสดงเมื่อครู่ ยามที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลง ดาร์เรนไม่อาจละสายตาไปไหนได้ การเคลื่อนไหวของมือ เอว และท่อนขาของอีกฝ่ายสะกดทุกสายตา หัวใจของเขาเต้นรัวในแบบที่เขาไม่ได้รู้สึกมานาน

“เธอเต้นเก่งเหมือนกันนะ”

เด็กหนุ่มถึงกับยกมือปิดหน้า “ขอร้องล่ะ ดาร์เรน นั่นมันน่าอายมาก”

“ทำไมล่ะ?”

ไอแซคลืมตามองระหว่างช่องนิ้ว ดาร์เรนค้นพบว่าตัวเองกำลังกลั้นหัวเราะกับท่าทางน่ารักน่าชังของอีกฝ่าย เขาหันมองป้ายโฆษณาบริเวณชานชาลาแทน

“ผมว่ามันแปลก ๆ ผมรู้สึกไม่ดีเวลาที่ต้อง…เคลื่อนไหวร่างกาย? ไม่รู้เหมือนกัน ผมว่าผมเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว”

“ผมนึกว่าวัยรุ่นจะชอบ…อืม…ปาร์ตี้?”

“ผมยินดีร้องเพลงต่อหน้าคนเป็นร้อยเป็นพันมากกว่าเต้นต่อหน้าคนไม่กี่สิบคน” เด็กหนุ่มตอบพลางลูบท้ายทอยตัวเอง อีกฝ่ายยังคงสวมถุงมือหนังของเขาอยู่ น่าแปลกที่เรื่องแค่นี้สามารถทำให้เขาดีใจได้

“เธอดูดีนะ ไอแซค” ดาร์เรนต้องการให้กำลังใจเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่คำพูดของเขากลับส่งผลให้ตัวเองรู้สึกกระดากกระเดื่องขึ้นมา

“ขอบคุณ…ล่ะมั้ง”

“รับคำชมเถอะไอแซค เธอเก่งมาก”

ดวงตาสีเขียวจ้องมองด้วยความประหลาดใจก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยเผยให้เห็นความเขินอายอย่างที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน จริงอยู่ที่ไอแซคดูเป็นคนขี้อายแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นมากกว่านั้น

ชายหนุ่มต่อว่าตัวเองที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในตอนนี้ได้ มันควรเป็นเพียงแค่การกลับบ้านพร้อมกันของคนสองคนที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามกันโดยไม่มีความรู้สึกใด ๆ มาเกี่ยวข้อง แต่ดาร์เรนทำไม่ได้ มันมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเขาสองคน บางอย่างที่เขาเองก็อยากค้นหาว่ามันคือสิ่งใด

“แล้ว…ร้านอาหารที่ว่านั่น…” ไอแซคเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาเดินขึ้นมาบนท้องถนนอีกครั้ง “ฝนตก!”

ดาร์เรนมองดูเม็ดฝนที่ตกลงมาถิบถี่แต่ไม่หนักหนาจนถึงขั้นไปไหนต่อไม่ได้ บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เขานึกถึงวันแรกที่ตัดสินใจทักอีกฝ่าย

“จะรอหรือเปล่าครับ”

“กีตาร์โดนน้ำได้หรือเปล่า”

เด็กหนุ่มกระชับสายกระเป๋ากีตาร์ของตัวเองแน่นขึ้น “กระเป๋ามันพอกันน้ำได้บ้าง”

“ร้านอยู่ห่างไปไม่ถึงห้านาที วิ่งไหวไหม”

ไอแซคยักไหล่ “ก็ได้ครับ”

“ถ้างั้นก็รีบเลย เพราะมันคงต้องหนาวมากแน่ ๆ”

เพียงแค่ยืนอยู่หน้าสถานีรถไฟพวกเขาก็รับรู้ได้ถึงลมหนาวจากด้านนอก ดาร์เรนจับมืออีกฝ่ายพร้อมกับออกวิ่ง พวกเขาฝ่าสายฝน ข้ามถนนด้านหน้าสถานีแล้วเลี้ยวเข้าแยกถัดไปซึ่งถึงก่อนบ้านของทั้งคู่

ร้านที่ดาร์เรนพามาเป็นร้านอาหารอิตาเลียนขนาดเล็ก กลิ่นหอมของขนมปังโชยเตะจมูกทันทีที่ผลักบานประตูเข้าไปในร้าน

“เป็นอะไรไหม” ดาร์เรนหันมาถาม เด็กหนุ่มส่ายหน้า ปัดละอองน้ำออกจากเส้นผมสีบลอนด์ทอง ชายหนุ่มต้องบอกตัวเองไม่ให้เป็นฝ่ายยื่นมือไปเสยผมของไอแซค เขากระแอมก่อนถามต่อ “กินอะไรดีล่ะ”

ทั้งสองเดินมานั่งยังโต๊ะด้านในสำหรับสองคน เด็กหนุ่มวางกระเป๋ากีตาร์ก่อนถอดเสื้อกันหนาวออก เขาอ่านใบเมนูด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ผมอยากกินลาซานญ่า แต่เพนเน่ซอสเนื้อก็น่ากิน”

“สั่งสองอย่างเลยก็ได้”

“ผมกินไม่หมดหรอกครับ”

“แบ่งกันก็ได้ ผมไม่ถือ”

ไอแซคมีสีหน้าครุ่นคิดอีกครั้งก่อนจะถามขึ้น “ผมสั่งของทอดด้วยได้ไหม”

“แน่นอน เครื่องดื่มล่ะ” ดาร์เรนอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม

ชายหนุ่มมองดูไอแซคสั่งอาหารกับเครื่องดื่มด้วยท่าทางกระตือรือร้น หลังจากที่พนักงานเดินกลับไปแล้ว ดวงตาสีเขียวคู่นั้นก็หันมาทางเขา ดาร์เรนหายใจผิดจังหวะไปชั่วขณะ เขาหันไปเล่นกับผ้าเช็ดปากบนโต๊ะ

“ได้ยินเรื่องที่เธอจะประกวดร้องเพลง”

เสียงถอนหายใจดังตามมาทันที “บอนนี่อยากให้ผมประกวด”

“เธอไม่อยาก?”

เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าลังเล ปลายนิ้วมือเขี่ยผ้าเช็ดปากเล่นด้วยท่าทางไม่ต่างอะไรจากเขาเท่าไรนัก

“เธอกลัวว่าจะแพ้เหรอ?”

“เปล่าครับ” ไอแซคตอบกลับมาก่อนที่เขาจะทันได้ถามจบด้วยซ้ำ “ผมกลัวว่าผมจะชอบยืนอยู่บนเวที ผมรู้ว่ามันแปลก คุณอาจคิดว่าผมบ้า…”

“ผมไม่…” สายตาของไอแซคทำให้ดาร์เรนหยุดขัดแล้วฟังต่อ

“ผมกลัวว่าผมจะชอบยืนอยู่บนเวที มันจะยิ่งทำใจได้ยากถ้าผมต้องตัดขาดจากมัน…จากการร้องเพลง ผมใช้ชีวิตด้วยการร้องเพลงไม่ได้”

“มีคนมากมายที่ประสบความสำเร็จในการร้องเพลง”

“และมีคนมากมายที่ไม่…มีมากกว่าด้วยซ้ำ” สีหน้าของไอแซคบ่งบอกว่าเขาเชื่อแบบนั้นจริง ๆ เชื่อว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร็จ

ก่อนที่ดาร์เรนจะได้พูดอะไรต่อ พนักงานก็ทยอยนำอาหารและเครื่องดื่มของพวกเขามาเสิร์ฟ ชายหนุ่มรอกระทั่งอีกฝ่ายเดินจากไปถึงพูดขึ้น

“ไอแซค เธอไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจนกว่าเธอจะลงมือทำ ผมชอบเวลาที่เธอร้องเพลง ผมฟังเพลงที่เธอร้องทุกคืน มันทำให้จิตใจผมสงบ และผมเชื่อว่ามีใครหลายคนรักเธอ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง “รักเสียงเพลงของเธอ”

ไอแซคมองตอบโดยไม่พูดอะไร ชายหนุ่มคงไม่รู้สึกอึดอัดขนาดนี้หากอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตอบสนองกับคำพูดของเขา

เด็กหนุ่มอ้าปากคล้ายอยากจะทักท้วงอะไรบางอย่างแต่แล้วเขาก็พยักหน้าลง “ขอบคุณครับ”

“ผมขอโทษที่ถาม” ดาร์เรนพูดขึ้น “กินต่อเถอะ”

หลังมื้อค่ำ ดาร์เรนเดินไปส่งไอแซคถึงหน้าบ้าน พื้นถนนเจิงนองไปด้วยน้ำแต่อย่างน้อยฝนก็หยุดตกแล้ว ท้องฟ้าเบื้องบนมืดสนิทมีเพียงแสงไฟตามทางที่ให้ความสว่าง

“ขอบคุณสำหรับมื้อค่ำครับ” ไอแซคเอ่ยยามที่พวกเขาหยุดตรงหน้าบ้าน แม้จะพยายามบอกดาร์เรนแล้วว่าจะหารค่าอาหารกันแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอม อย่างน้อยเขาก็สามารถเจรจาจนเป็นฝ่ายจ่ายค่าเครื่องดื่มได้

“ไอแซค ผมพูดจริง ๆ นะ” หลังจากลังเลอยู่นาน ดาร์เรนก็พูดขึ้น “ผมอยากให้เธอร้องเพลงตลอดไป ผมจะรอวันที่ได้ยินเพลงของเธอ”

แม้อยากเถียงแต่ไอแซคก็ปรารถนาให้ตัวเองได้ร้องเพลงตลอดไปเช่นกัน

“ผมจะพยายาม”

ไอแซครู้ว่าถ้าตอบแบบนั้นออกไป เขาจะได้เห็นรอยยิ้มของดาร์เรน และเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เห็นรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ รอยยิ้มที่ทำให้เขาเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี รอยยิ้มที่ทำให้เขายืนหยัดในสิ่งที่เขาเชื่อ…รอยยิ้มที่เขาปรารถนาให้มีไว้สำหรับเขาเท่านั้น

 

Leave a comment