Downfall CHAPTER FOUR

CHAPTER FOUR

แสงจากไฟฉายให้ความสว่างในระยะจำกัด ศาสตราจารย์เดินลงมาถึงชั้นล่างก็สัมผัสได้ถึงอากาศอับชื้นที่แตกต่างจากด้านบนอย่างสิ้นเชิง ท่ามกลางบรรยากาศวังเวงและเงียบสงัด เขาถือไฟฉายหันไปรอบๆ อย่างช้าๆ นิโคลัสไม่ใช่คนเชื่อเรื่องวิญญาณแต่นับตั้งแต่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นมันทำให้เขาเห็นเจคบ่อยครั้งจนไม่อาจเชื่อถือตัวเองได้อีก เขาอาจเห็นภาพหลอนหรือไม่วิญญาณก็มีอยู่จริง

“ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ที่นี่นะครับ” เทรเวอร์เอ่ย เสียงฝีเท้าของเขาเดินห่างออกไปคงกำลังสำรวจห้อง

“ไม่น่ามีใครลงมาที่นี่นานแล้วด้วยซ้ำ” ศาสตราจารย์สมทบ มองดูความหนาของฝุ่นที่เกาะบนเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ชิ้นไหนที่ฝุ่นยังไม่หนาสามารถบอกได้ว่าเป็นของที่เพิ่งย้ายลงมาเก็บในช่วงปรับเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นโรงแรม

หนุ่มใหญ่อดสงสัยเกี่ยวกับเจ้าของบ้านไม่ได้จึงพยายามมองหาภาพถ่ายครอบครัวซึ่งน่าจะถูกเก็บอยู่ในนี้เช่นกันขณะที่เทรเวอร์ยังคงพยายามหาแบบแปลนคฤหาสน์

“ฝุ่นเยอะแบบนี้ เราไม่ควรอยู่ในนี้นานนะครับ”

“อย่าเพิ่งทำตัวเป็นหมอตอนนี้เลย เทรเวอร์” เขาตอบกลับโดยที่สายตายังคงไล่ไปตามชั้นวางของที่เต็มไปด้วยเครื่องใช้และของตั้งโชว์ ไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าการเรียกชื่อจะส่งผลให้ชายหนุ่มใจเต้นแรง เทรเวอร์สงบปากสงบคำแล้วมองหาสิ่งที่ต้องการต่อไป

อากาศในนี้ไม่ถ่ายเท หน้าต่างบานเล็กด้านบนปิดสนิทและยากเกินกว่าจะเดินไปเปิดได้เมื่อต้องฝ่าข้าวของมากมายที่ถูกเก็บสะสมอยู่ในนี้ ถึงจะเป็นเรื่องดีที่เลสเตอร์ไม่ได้ถูกขังตามลำพังในห้องใต้ดินแห่งนี้แต่นั่นหมายถึงโอกาสที่บ้านหลังนี้จะมีห้องลับสูงมากและคนร้ายต้องรู้จักสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี

“เป็นไปได้ไม่ว่าคนร้ายมีแบบแปลนอยู่ที่ตัวแล้วเอาไปซ่อนไว้ที่อื่น”

“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” เทรเวอร์ตอบพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวมาใกล้ “ศาสตราจารย์ครับ”

นิโคลัสเดินตามเสียงเรียก เห็นรอยยิ้มภาคภูมิผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาที่อาบชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในมือของอีกฝ่ายคือม้วนกระดาษขนาดใหญ่ ไม่จำเป็นต้องให้เทรเวอร์บอก หนุ่มใหญ่ก็ทราบดีว่ามันคือสิ่งใด

“เธอเจอมันแล้ว”

“ครับ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยอะไรเราได้บ้าง” พูดจบชายหนุ่มก็กางแบบแปลนคฤหาสน์ลงบนโต๊ะทำงานโดยไม่สนว่ามีฝุ่นเกาะมากขนาดไหน การที่มีเพียงแสงจากไฟฉายทำให้ยากต่อการมองว่าอะไรเป็นอะไร เทรเวอร์จึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ผมว่าเรากลับไปที่ห้องเถอะครับ อย่างน้อยก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว”

นิโคลัสยังคงติดใจเรื่องเจ้าของบ้านแต่ทั้งอากาศและสภาพแวดล้อมก็ไม่เป็นใจให้อยากอยู่ในนี้ต่อเท่าไรนัก ยิ่งรู้สึกเหนียวตัวเพราะเหงื่อไคลด้วยแล้วการขึ้นไปตากแอร์บนห้องพักเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์ยิ่งกว่า

“เธอถือมันไหวไหม”

ดวงตาสีดำใต้กรอบแว่นคล้ายจะต่อว่ากลายๆ ที่เขาเอ่ยปากถามอะไรแบบนั้นออกไป เทรเวอร์เก็บโทรศัพท์ของตัวเองลงกระเป๋าเพื่อให้สามารถถือแบบแปลนคฤหาสน์ได้ถนัดขึ้น เมื่อแสงสว่างสีขาวจากโทรศัพท์หายไปภายในห้องใต้ดินก็ดูมืดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า นิโคลัสมองไฟฉายในมือและหวังว่ามันจะยังมีประสิทธิภาพมากพอให้พวกเขาได้กลับขึ้นไปข้างบน

“คุณเดินตามผมขึ้นมาละกันครับ ผมเริ่มชินกับความมืดแล้ว”

เทรเวอร์ไม่ได้รอคำตอบ เดินนำไปยังบันไดที่ทอดยาวสู่ด้านบน อีกฝ่ายก้าวเท้าฉับไวราวกับมองเห็นในที่มืดผิดกับเขาที่มีไฟฉายแท้ๆ แต่ยังคงเดินขึ้นบันไดด้วยความระมัดระวัง

เมื่อประตูห้องใต้ดินเปิดออก อากาศสดชื่นก็เข้ามาทักทาย ถึงจะไม่ใช่อากาศสดชื่นตามธรรมชาติแต่ย่อมดีกว่ากลิ่นอับในห้องปิดตายนั่นหลายร้อยเท่า

“เราจะไปห้องคุณหรือไปห้องผมดีล่ะครับ” ต่อให้พวกเขาไม่ได้ออกตามหาแบบแปลนคฤหาสน์เป็นเวลาหลายชั่วโมงหรืออีกฝ่ายไม่ได้ถือของที่ว่าอยู่ก็ตาม ก็ทำให้การตอบคำถามนั้นเป็นเรื่องยากได้ รอยยิ้มยียวนนั่นคล้ายจะหาทุกช่องทางในการสร้างความลำบากใจให้กับเขา เมื่อยังไม่ได้ยินคำตอบ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ห้องของศาสตราจารย์ละกันครับ จะได้สบายใจกว่า”

หนุ่มใหญ่หันมองด้วยสายตาสงสัยก็พบรอยยิ้มซุกซนของคุณหมอหนุ่มที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยแสงไฟในการมองเห็น

พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพักด้านบน ความเงียบสงัดของยามค่ำคืนทำให้เสียงฝีเท้าของทั้งสองดังขึ้นกว่าปกติ ศาสตราจารย์ปิดไฟฉายเมื่อเขาสามารถมองเห็นทางเดินโดยไม่ต้องพึ่งแสงอื่น เขาไขกุญแจเปิดประตูเข้าสู่ห้องพักของตน แอร์เย็นฉ่ำปะทะร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อจนรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา

นิโคลัสเปิดไฟ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเจอแสงไฟจ้า เขาวางกุญแจลงบนโต๊ะเครื่องแป้งหันมองชายหนุ่มที่เพิ่งปิดประตูห้องพร้อมลงกลอนเสร็จสรรพ เมื่อดวงตาสีดำหันมาเจอความสงสัยบนใบหน้าเจ้าของห้อง เขาก็พูดขึ้น

“ข้างนอกมีฆาตกรต่อเนื่องอยู่นะครับ ลงกลอนคล้องโซ่ไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย” คนฟังวางใจเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาอื่น กระทั่งได้ยินน้ำเสียงขี้เล่นดังขึ้น “ศาสตราจารย์คิดว่าผมจะทำอะไรเหรอครับ”

สีหน้าใสซื่อช่างขัดกับน้ำเสียงซุกซนยิ่งนัก หนุ่มใหญ่เลือกที่จะเพิกเฉย “วางแปลนบ้านบนที่นอนก็ได้นะ” เขามองชายหนุ่มเดินผ่านตัวเองไปยังเตียงนอน สังเกตเห็นใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อก็รู้สึกครั้นเนื้อครั้นตัวแทน “อาบน้ำก่อนเถอะ มีผ้าเช็ดตัวอีกผืนในตู้เหนืออ่างล่างหน้า”

เทรเวอร์หันมองด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าประโยคนี้จะออกมาจากปากชายวัยกลางคนคนนี้ได้ ทั้งที่มันไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้งเพราะเขารู้ดีว่าเหงื่อกับฝุ่นไม่ใช่การรวมตัวกันที่ดีนักแต่ในใจก็อดไม่ได้ที่อยากจะหยอกอีกฝ่ายมากขึ้น แต่กลัวว่าจะกลายเป็นลามปามไปจึงต้องหักห้ามใจตัวเองแล้วพยักหน้ารับ

“ขอบคุณครับ งั้นผมขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะครับ”

เมื่อประตูห้องน้ำปิดลง หนุ่มใหญ่ก็นั่งลงตรงที่ว่างบนเตียงนอน ถอดรองเท้าที่สวมใส่ออก แม้จะอยากหันไปสนใจแบบแปลนที่วางอยู่ด้านหลังแต่เขาก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะคิดอะไรทั้งนั้น ก่อนหน้านี้เขายังเป็นเพียงอาจารย์สอนวรรณคดีแท้ๆ เหตุใดถึงทำตัวเป็นนักสืบไปได้ นิโคลัสก้มหน้า หลับตาลงเพื่อให้สมองได้หยุดพักและผ่อนคลาย เสียงสายน้ำจากฝักบัวดังชัดในความเงียบพร้อมใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิด เขารีบลืมตาขึ้นมาเมื่อประตูที่ตนปิดกั้นไปนานเริ่มแง้มออก

นิโคลัสหยิบตลับใส่บุหรี่สีเงินออกจากกระเป๋า นิ้วโป้งไล่ไปตามรอยสลักอักษรย่อชื่อของเขาและเจคบนมุมขวาล่างของฝาตลับ ใบหน้าที่สะท้อนอยู่บนนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนล้า เศร้าสร้อย ไม่ว่าเมื่อไรที่เขามองดูของต่างหน้ามันจะพาเขาหวนกลับไปช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนรัก ต่อให้มันเป็นอดีตที่ไร้ซึ่งอนาคตเขากลับค้นพบว่ามันคือช่วงเวลาที่ตัวเองมีชีวิตชีวา มีความสุขมากที่สุด

“คุณบอกว่าไม่ได้สูบบุหรี่ไม่ใช่เหรอครับ” เสียงทักจากด้านหลังทำเอาหนุ่มใหญ่รีบเก็บของในมือใส่ลงกระเป๋าตามเดิม

ยามที่หันกลับไปทางต้นเสียงก็พบชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำ ดวงตาสีดำที่ไม่มีกรอบแว่นมาบดบัง ใบหน้ามีหยดน้ำเกาะ รอบลำคอมีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องอยู่ ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า สวมแต่เพียงกางเกงยีนส์ขายาวเท่านั้น ส่งผลให้คนมองหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมากะทันหัน

เทรเวอร์เห็นสีหน้าอีกฝ่ายก็รีบอธิบาย “ขอโทษครับ เสื้อผมเปียกเหงื่อก็เลย…”

“ไม่เป็นไร” นิโคลัสเอ่ยพร้อมลุกขึ้นยืน “ผมขอล้างหน้าหน่อย เดี๋ยวเรามาดูแบบแปลนกัน”

“เอ่อ…ครับ” ดวงตาสีดำมองตามร่างอีกฝ่ายเดินเข้าไปในห้องน้ำ ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวทั้งที่ควรรู้สึกหนาวเพราะแอร์แต่ปฏิกิริยาเก้อเขินของศาสตราจารย์พลอยทำให้เขาเขินตามไปด้วย

นิโคลัสปิดประตูห้องน้ำก่อนเดินไปล้างมือ ล้างหน้าที่อ่างล้างหน้า ยามที่หลับตาเขาสามารถมองเห็นร่างกายท่อนบนของชายหนุ่มคนนั้นอย่างชัดเจน หยดน้ำที่เกาะตามลำตัวยิ่งชวนให้น่ามอง แม้ศาสตราจารย์มองเห็นเพียงครู่เดียวแต่ก็จดจำได้อย่างตราตรึง ผิวพรรณที่แค่มองก็ให้ความรู้สึกเรียบลื่นน่าสัมผัส หน้าท้องไร้ซึ่งไขมันส่วนเกิน เขาไม่ได้เห็นเนื้อกายเปลือยเปล่าของชายอื่นมานาน ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยแม้แต่น้อย

หนุ่มใหญ่ล้างหน้าอีกครั้งหวังที่จะสลัดภาพของคุณหมอหนุ่มออกไปจากสมองแต่การกลับเข้ามาในห้องนอนและพบอีกฝ่ายด้วยสภาพเดิมไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น แว่นตากลับมาอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มอีกครั้งและมันส่งผลให้ผู้ชายคนนี้ยิ่งเซ็กซี่ขึ้นกว่าเก่า ทั้งที่นิโคลัสไม่ควรรู้จักคำนั้นแล้วด้วยซ้ำ

“ศาสตราจารย์มาดูนี่สิครับ” เสียงเรียกปลุกเขาตื่นขึ้นจากภวังค์ หนุ่มใหญ่สาวเท้าไปใกล้เตียง พยายามรักษาระยะห่างจากอีกฝ่ายขณะมองแบบแปลนตรงหน้า “แปลนนี้มีทั้งภายในคฤหาสน์และบริเวณโดยรอบ แต่ห้องในแต่ละชั้นก็มีมากจนยากที่จะตรวจสอบได้หมด ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณต้องการหา เราอาจใช้เวลาทั้งคืนก็เป็นได้”

ศาสตราจารย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย การมองหาสิ่งผิดปกติในสิ่งที่ละเอียดขนาดนี้คงใช้เวลามากน่าดู แถมตาของเขาเริ่มล้า ยิ่งต้องมาจ้องตัวหนังสือเล็กๆ ด้วยแล้วยิ่งรู้สึกท้อ

“ศาสตราจารย์ต้องการมองหาห้องลับใช่ไหมครับ ผมว่ามันคงไม่ได้เขียนระบุอยู่ในแปลนแน่” เทรเวอร์พูดต่อ หันมองใบหน้าด้านข้างของนิโคลัสที่ยังมีหยดน้ำไหลจากขมับผ่านไปยังพวงแก้ม สิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ กว่าจะรู้ตัวว่าเพิ่งเช็ดใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยผ้าขนหนูในมือก็ตอนเห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นตวัดมา “ข…ขอโทษครับ ผมเห็นว่าศาสตราจารย์ยังไม่ได้เช็ดหน้า”

“ขอบคุณ”

ดวงตาคู่นั้นหันกลับไปสนใจสิ่งของบนเตียงต่อ แต่สีหน้าตระหนกตกใจปรากฏรอยแดงจางๆ ขึ้นมาบริเวณโหนกแก้ม ทำเอาคนมองยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขากระแอมครั้งหนึ่งก่อนถามขึ้น

“ศาสตราจารย์จะพักก่อนไหมล่ะครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว”

“เธออยากนอนหรือเปล่า”

เทรเวอร์ไม่ได้เตรียมใจฟังคำตอบด้วยคำถามแบบนั้น  ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความจริงใจไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงเหมือนอย่างความคิดไม่สมควรที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขานับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้

“ไม่ครับ ผมยังไหว”

ศาสตราจารย์มองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันกลับไปดูแบบแปลน

“ในตู้เย็นน่าจะมีของที่ทำให้เธอตาสว่างได้”

ชายหนุ่มกำลังจะปฏิเสธแต่ก็เปลี่ยนใจเดินไปเปิดตู้เย็นขนาดเล็กมองหาเครื่องดื่มที่จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น ข้าวของที่อยู่ในตู้เย็นของห้องศาสตราจารย์ต่างจากห้องของเขา บางทีเคซี่อาจเป็นคนกำกับเองถึงได้ไม่มีเหล้าขวดเล็กๆ อยู่เลยผิดกับห้องของเขาที่มีให้เลือกมากมายแต่ยังไม่มีโอกาสได้ดื่ม นอกนั้นก็คล้ายคลึงกันทั้งน้ำเปล่า น้ำอัดลม ช็อกโกแลตแบบแท่ง ส่วนน้ำผลไม้ในห้องนี้มีให้เลือกเยอะแยะเต็มไปหมด

“ศาสตราจารย์ครับ จะดื่มน้ำส้ม น้ำกีวี น้ำแอปเปิล น้ำลูกพรุน…” ชายหนุ่มยังคงหมุนขวดดูฉลากน้ำผลไม้ที่มีมากมายราวกับตู้ขายของ เขามั่นใจว่าเคซี่เป็นคนจัดแน่ เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมาจากนิโคลัส อีกฝ่ายคงคิดแบบเดียวกัน

“ขอน้ำส้มครับ”

“น้ำส้ม…” เทรเวอร์หยิบขวดน้ำส้มออกมาก่อนหันไปเห็นว่ามันมีมากกว่าแบบเดียว เขาอ่านฉลากไปก็อมยิ้ม “ศาสตราจารย์ครับ อยากได้ส้มธรรมดา ส้มผสมโอเมก้า-3 ส้มผสมแคลเซียม หรือส้มเขียวหวาน”

“อย่างไหนก็ได้ครับ เธอเป็นหมอไม่ใช่เหรอ เลือกให้ผมสิ” น้ำเสียงผ่อนคลายของศาสตราจารย์ชวนให้รู้สึกจั๊กจี้ในอกไม่น้อย

“ถ้าให้ผมเลือกผมคงคั้นน้ำส้มให้ศาสตราจารย์ดื่มเองมากกว่าครับ” ชายหนุ่มหยิบน้ำส้มออกมาหนึ่งขวดกับกระป๋องน้ำอัดลมสำหรับตัวเอง พอเห็นสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองตัวเลือกเครื่องดื่มของเขา เทรเวอร์ก็พูดขึ้น “อะไรครับ หมอก็ดื่มน้ำอัดลมเป็นนะ อีกอย่างกาแฟยี่ห้อที่ผมดื่มมันไม่มีในตู้เย็น”

คุณหมอหนุ่มรินน้ำส้มใส่แก้วส่งให้ศาสตราจารย์ก่อนจะเปิดกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่ม ความซ่าไหลผ่านลำคอเป็นความรู้สึกที่รับรู้ไปจนถึงกระเพาะ

“ว่าแต่เรารู้อะไรบ้างครับ”

“ชั้นล่างของบ้านไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงเท่าไร แต่ชั้นบนค่อนข้างแตกต่างมากทีเดียว ตรงนี้มีห้องใต้หลังคาอยู่เธอเคยเห็นทางขึ้นไหม”

ชายหนุ่มมองตามจุดที่อีกฝ่ายชี้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ผมยังไม่เคยเดินไปตรงนั้นอีกอย่างตอนนี้ชั้นสี่ก็ไม่มีใครอยู่ ว่าแต่ศาสตราจารย์ลองคิดสิครับว่าคนร้ายจะพาคุณเลสเตอร์ไปซ่อนที่ไหนได้ในเมื่อห้องของเขาในปัจจุบันอยู่ที่ชั้นสาม การจะแบกคนๆ นึงขึ้นลงบันไดมันเป็นไปได้ยาก”

“นอกเสียจากว่าคุณเลสเตอร์ไม่ได้อยู่ในห้องตอนที่คุณปีเตอร์สันถูกฆ่า ลูกตานั่นถูกควักจากในห้องหรือจากที่อื่นล่ะ”

“จากความเห็นของผมน่าจะในห้องเพียงแต่คนทำถ้าไม่ใช่คนมีความรู้ทางการแพทย์ก็ต้องมือนิ่งมาก เขาทำได้ละเอียดมาก คุณเลสเตอร์อาจจะหมดสติอยู่ก็เป็นได้ วิธีการของเขาเฉพาะเจาะจงคงต้องมีความแค้นกับผู้ตาย”

“เธอหมายถึงบริษัทแคมป์เบล”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นทั้งแฮริสันและแพทริค”

“ก็เป็นไปได้ว่าทั้งสองคนนั้นจะตกเป็นเป้าหมายของคนร้าย รวมถึงคณะกรรมการคนอื่นในบริษัทด้วย มีแต่งานนี้เท่านั้นแหละครับที่คนของบริษัทจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้” พอชายหนุ่มเห็นนิโคลัสนวดขมับของตัวเองเขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “ผมว่าศาสตราจารย์พักผ่อนก่อนเถอะครับ”

คราวนี้เขาไม่พูดเปล่า หยิบแก้วน้ำไปจากมือของอีกฝ่ายเพื่อวางบนโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะม้วนแบบแปลนเก็บเข้าที่

“ผมไม่คิดว่าตัวเองจะนอนหลับได้หรอกนะ ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้”

นิโคลัสนึกถึงหลานสาวของตัวเองขึ้นมา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไรบ้าง รวมทั้งคนอื่นที่มาร่วมงานนี้จะยังนอนหลับกันได้หรือเปล่า

“ถึงอย่างนั้นคุณก็ต้องพักผ่อนครับ ศาสตราจารย์ ถ้าคนร้ายจะลงมือ เขาคงลงมือ มันเป็นเรื่องที่เรายังห้ามไม่ได้ตราบใดที่เรายังไม่รู้ข้อเท็จจริง” ชายหนุ่มเดินไปเปิดเตียง ยื่นมือทำท่าให้อีกฝ่ายนอน “ศาสตราจารย์ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมจะปกป้องคุณเอง”

ประโยคนั้นหลุดปากออกไปเองโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ไม่อาจแก้ไขได้ทัน เขาจึงปล่อยเลยตามเลย มองศาสตราจารย์ที่หันศีรษะไปทางอื่นเพื่อปิดซ่อนสีหน้า

“เธอเองก็ควรไปนอน”

“ข้างนอกมีฆาตกรต่อเนื่องอยู่ ผมปล่อยศาสตราจารย์นอนคนเดียวไม่ได้หรอกครับ” นิโคลัสมองตอบด้วยสีหน้าจริงจัง ชายหนุ่มพูดต่อด้วยท่าทางจริงจังไม่แพ้กัน “ผมนั่งอยู่ตรงนี้ได้ รับรองว่าไม่รบกวนการนอนของศาสตราจารย์แน่นอนครับ คุณจะไม่รู้สึกเลยว่ามีผมอยู่”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ” นิโคลัสล้มตัวลงนอน หันหลังให้อีกฝ่ายก่อนพูดขึ้น “มานอนบนเตียงก็ได้ แต่ปิดไฟให้ด้วย” ขณะที่เทรเวอร์กำลังเดินไปปิดไฟ ศาสตราจารย์ก็ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง “ในตู้เสื้อผ้ามีเสื้อผมอยู่ เธอน่าจะใส่ได้ ลองหาดู” กล่าวจบเขาก็โน้มตัวลงนอนตามเดิม

“ปกติแล้วผมไม่ใส่เสื้อผ้านอนนี่ครับ”

“นพ.คาเวนดิช”

พอได้ยินชื่อเรียกอย่างเป็นทางการแบบนั้นเขาก็ขานรับอย่างช่วยไม่ได้ “ครับๆ ใส่เสื้อผ้านอนก็ได้ครับ”

ชายหนุ่มหยิบเสื้อคอกลมมาสวมใส่ ศาสตราจารย์สูงน้อยกว่าเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตร ขนาดตัวก็อาจจะผอมกว่าเล็กน้อยถึงได้ใส่เสื้อผ้าไซส์เดียวกัน เมื่อปิดไฟแล้วทั้งห้องก็เข้าสู่ความมืดแต่ยังพอมองเห็นได้บ้าง เขาเดินไปยังเตียงนอนฝั่งของตน ซุกตัวเองเข้าใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ อีกฝ่ายนอนหันหลังให้เขาแต่สามารถรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดจากร่างตรงหน้า

“ศาสตราจารย์ครับ” เขาเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา เจ้าของชื่อขยับตัวเล็กน้อยบ่งบอกว่ายังไม่หลับทว่าเขากลับลังเลที่จะพูดออกไป จริงอยู่ที่เขาคิดไม่ซื่อแต่อย่างน้อย ในเวลานี้ย่อมไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เทรเวอร์อยากให้อีกฝ่ายสบายใจแต่ก็รู้ดีว่าคำพูดของตัวเองคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

“มีอะไรครับ” เสียงคำถามดังขึ้น

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มพลิกตัวหันไปทางอื่น หลับตาลงเพื่อข่มตัวเองให้หลับแต่สมองของเขากลับมีเรื่องให้คิดมากมายเกินกว่าจะนอนหลับได้ลง

นิโคลัสนอนลืมตาอยู่ท่ามกลางความมืดโดยที่ประสาทสัมผัสของเขาสามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของผู้ชายที่นอนอยู่ด้านหลังตัวเองได้เป็นอย่างดี เขาไม่คิดว่าการตัดสินใจออกจากบ้านมางานแต่งงานตามคำชวนของหลานสาวจะพาเขามาถึงจุดๆ นี้ ศาสตราจารย์มั่นใจว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร เขาไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาที่มองไม่ออกว่าสายตาเช่นนั้นต้องการสื่ออะไร ความต้องการของอีกฝ่ายถ่ายทอดออกมาผ่านสีหน้าและท่าทาง อยู่ที่ว่าเขาเลือกที่จะมองเห็นหรือไม่ก็เท่านั้น

เพียงแค่นึกถึงชายหนุ่มที่นอนเคียงข้างกัน ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจอย่างช้าๆ เกือบปีที่เขาสูญเสียเจคไป มันยังเร็วเกินไปหากเขาจะมองหาคนอื่น เขาไม่ต้องการใครอื่น…หนุ่มใหญ่ค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างช้าๆ ยามที่เขาลืมตามาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็คุ้นเคยจนสร้างความอึดอัดขึ้นมา

ประตูสีฟ้าอ่อนของทาวน์โฮมสองชั้น ไม่มีทางที่เขาจะลืมหน้าบ้านตัวเองไปได้ นิโคลัสเปิดประตูทั้งที่รู้ว่ามีสิ่งใดรออยู่ ห้องนั่งเล่นปรากฏสู่สายตา เขาหยุดยืนหน้าโซฟาหลีกเลี่ยงที่จะเดินเข้าไปในห้องครัว บอกตัวเองให้ตื่นขึ้นจากความฝัน แต่ราวกับความฝันของเขามีความคิดเป็นของตัวเองและจะไม่ปล่อยเขาไปจนกว่าจะได้เห็นร่างไร้วิญญาณของคนรักนอนจมกองเลือด

เขาอยากให้มันหยุด ทั้งความฝันนี้และทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเฝ้าถามตัวเองว่าอะไรที่ขวางกั้นตัวเขากับการเหนี่ยวไกปืนที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานในห้องทำงานส่วนตัวนั่น อะไรทำให้เขายังตื่นนอนทั้งที่เขาไม่เหลือใครนอกจากความอ้างว้างที่วนเวียนอยู่ในบ้านหลังนี้ อะไรทำให้เขายังต้องทนเห็นความฝันเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

นิโคลัสไม่อยากเข้าไปในห้องครัว หากแต่เขาไม่มีตัวเลือก หนทางเดียวที่จะหยุดความฝันในตอนนี้คือการเผชิญกับสภาพสุดท้ายของเจค เขาหยุดมองเคาน์เตอร์สีขาวและพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ พื้นไม้ที่เขากำลังเหยียบย่ำไร้ซึ่งหยดเลือดดั่งทุกที รอบข้างเงียบสงัดทั้งที่เขาจำได้ขึ้นใจว่าโทรทัศน์ถูกเปิดทิ้งไว้ในวันนั้น

ศาสตราจารย์อาศัยเคาน์เตอร์เป็นที่พึ่งพิงยามเดินอ้อมไปด้านหลัง หัวใจถูกรัดแน่นราวกับมีใครยื่นมือมาบีบไว้ เขาไม่รู้ตัวว่ากำลังกลั้นหายใจกระทั่งลมหายใจหลุดออกจากจมูกเมื่อไม่เห็นร่างของคนรักบนพื้น นับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเขาไม่เคยฝันเห็นเจคยามมีชีวิตอีกเลย คราวนี้มันกำลังสร้างความหวังให้กับเขาที่จะมีโอกาสได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่ายพร้อมดวงตาสีฟ้าที่จ้องมองมาอย่างอ่อนโยน

เมื่อเริ่มมีความหวัง นิโคลัสก็หายใจไม่ทั่วท้อง เหน็บชาไล่ไปจนถึงปลายมือ เพียงแค่คิดว่าจะได้เห็นหน้าคนรักแม้แค่ในฝันก็ยังดีเขาก็ตื่นเต้นอย่างมาก

“ศาสตราจารย์”

เสียงเรียกทำให้เขาหันมองไปด้านหลัง ทว่าภาพตรงหน้าก็ดำมืดไปก่อนที่จะมองเห็นคนเรียก ถึงอย่างนั้นนิโคลัสก็ทราบดีว่าเจ้าของเสียงคนนั้นคือใคร

Leave a comment