The Cause of Love between Darren and Isaac Track 2: Imagination

Track 2

Imagination

ท้องฟ้ายามเช้ามืดครึ้ม หน้าต่างที่ถูกเปิดไว้เป็นทางผ่านสำหรับลมหนาวจากด้านนอกเด็กหนุ่มนั่งบิดขี้เกียจบนที่นอนคร้านที่จะลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน แต่การออกจากบ้านผิดเวลาจะทำให้เขาคลาดกับรถไฟได้ ไอแซ็คมองออกไปนอกหน้าต่างยังบ้านฝั่งตรงข้าม มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋าใบโปรดสะพายบนไหล่ หยิบหูฟังคล้องคอ เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนให้พร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ ยามที่ลงมาด้านล่างก็พบว่าแม่ของเขากำลังดื่มกาแฟในห้องครัว

“อรุณสวัสดิ์ครับ” ไอแซ็คทักพร้อมเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มนม

“เทใส่แก้วสิ” คนเป็นแม่ส่ายศีรษะเบา ๆ เมื่อลูกชายยังคงดื่มนมจากกล่องทั้งที่เตือนหลายครั้งแล้ว

“วันนี้กลับเย็นหน่อยนะครับ” เขาใช้หลังมือปาดคราบนมบนปาก ก่อนจะต้องเดินไปล้างมือที่อ่างล้างจานเมื่อเห็นสายตาดุของแม่

“แม่ไม่ว่าหรอกนะถ้าลูกอยากจะไปร้องเพลง แต่ลูกควรมองหามหาวิทยาลัยได้แล้วนะ”

คนฟังลอบถอนหายใจ ใช้เวลาล้างมือมากกว่าปกติเพราะไม่อยากให้แม่เห็นสีหน้าไม่พอใจจากเขา

“ทราบแล้วครับ”

“ลูกต้องเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเองแล้วนะ” แม่ของเขายังคงพูดถึงเรื่องการศึกษาและอนาคตของเขาต่อโดยที่เจ้าตัวไม่คิดเถียง เพราะเขาเข้าใจความเป็นห่วงของเธอ ไอแซ็คเคยมองมหาวิทยาลัยที่สอนเรื่องดนตรีไว้ แต่เขารู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่แม่ของเขาต้องการ

“ผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวไม่ทันรถไฟ” เด็กหนุ่มตัดบท ตรงเข้าไปหอมแก้มคนเป็นแม่ที่ขมวดคิ้วใส่แต่ก็ยังหอมแก้มเขากลับ

ยามที่เขาเดินออกจากบ้าน เขารู้ว่าเขาจะพบกับอะไร…กับใคร ชายหนุ่มตัวสูงสวมโค้ตกันหนาวสีกรมท่า ในมือถือกระเป๋าเอกสารพร้อมร่มโดยมีหญิงสาวผมสั้นยืนส่ง พวกเขาไม่จูบหรือหอมแก้มกัน ไม่ได้มองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ระหว่างกัน ที่ไอแซ็ครู้เพราะเขาเคยเห็นภาพแบบนั้นมาก่อน พ่อแม่ของเขาเคยมองกันด้วยความรักกระทั่งมันไม่ใช่…กระทั่งรู้สึกได้ถึงความห่างเหินของทั้งคู่ จนในที่สุดพวกเขาก็เลิกลากันไป

เด็กหนุ่มละสายตาจากบ้านฝั่งตรงข้าม มันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรเข้าไปข้องเกี่ยว เขาอาจจะคิดไปเองด้วยซ้ำ ไอแซ็คสวมหูฟังแล้วเดินไปตามทางของตน ดาร์เรนไม่ได้เดินมาทักเขากระนั้นพวกเขาก็ยังขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน

แม้เขาจะเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่งบนโลกโซเชียล แต่ในชีวิตจริง ไอแซ็คไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก เขายังคงคล้องหูฟังสีแดงไปไหนมาไหนอยู่เสมอและพร้อมที่จะปลีกตัวเองออกจากความวุ่นวายรอบข้าง

“ไอแซ็ค” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เธอจะนั่งลงข้าง ๆ

“ว่า” เขาขานรับ พลางหยิบเฟรนช์ฟรายส์เข้าปาก

“หันมาดูก่อนสิ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาสามารถเห็นดวงตาสีฟ้าเป็นประกายของเธอได้โดยที่ไม่ต้องหันไปมอง

ไอแซ็คทำตาม อีกฝ่ายกำลังถือใบปลิวขนาดเอสี่ไว้ในมือ คำว่า ‘การประกวดร้องเพลง’ ปรากฏอย่างเด่นชัดเหนือภาพกราฟฟิก

“ว่าไง” เธอเร้าเมื่อเห็นเขายังเงียบ

“มันอยู่ในผับไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่” เธอมองใบปลิวด้วยสายตาราวกับเขาพูดจาอะไรผิดไป “มันเป็นการประกวดเล็ก ๆ จัดขึ้นกันเองในผับที่พี่ชายฉันทำงานอยู่ ฉันว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะทำให้คนรู้จักเธอมากขึ้นนะ แถมในงานคนประกวดกับทีมงานได้ดื่มฟรีด้วย”

เขาเลิกคิ้ว รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายสนใจเครื่องดื่มมากกว่า “เธอยังอายุไม่ถึง 18 นะ” ไอแซ็คหยิบใบปลิวจากมือของเธอ ส่งผลให้เด็กสาวคลี่ยิ้ม

“เงินรางวัลดีด้วยนะ แล้วไม่แน่เขาอาจจะจ้างเธอให้ไปร้องเพลงช่วงวันสุดสัปดาห์ก็ได้”

เด็กหนุ่มยังคงจ้องมองใบปลิวแผ่นนั้นโดยไม่ได้ตอบอะไร

“นอกจากเรื่องนั้นแล้วฉันยังมีอะไรให้เธออีกอย่าง” บอนนี่หยิบกระดาษขนาดเอสี่ออกมาจากแฟ้มใสในมือ ยื่นมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม

เพียงแค่เห็นชื่อที่อยู่ด้านบน เขาก็รู้ว่าเธอจะพูดอะไรต่อ

“ตอนฉันหาข้อมูลเรียนต่อก็เจอวิทยาลัยนี้เข้า มีสอนทางด้านดนตรีแถมผู้สอนยังเป็นพวกโปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลงอีกด้วยนะ เขามีทุนด้วย เผื่อเธอจะสนใจ”

คราวนี้ไอแซ็คลังเลที่จะรับกระดาษแผ่นนั้นมา ต่อให้เขาอยากเรียนต่อด้านดนตรีโดยตรงและรู้สึกดีที่เข้าเรียนได้ แต่ถ้ามองในระยะยาว เขาไม่คิดว่ามันจะให้ผลดีเท่าไรนัก

“ขอบใจนะแต่ฉัน…”

“ไอแซ็ค” เธอแย้งก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ “มันไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความฝันแบบเธอ หรือมีพรสวรรค์แบบเธอ ในเมื่อเธอรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรทำไมถึงยังทิ้งมันล่ะ”

“คนเราต้องอยู่กับความจริงบอนนี่ ถ้าฉันเรียนต่อ ฉันคงต้องหาอะไรที่มันมั่นคงมากกว่าการร้องเพลงไปวัน ๆ”

“เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่การร้องเพลงไปวัน ๆ ไอแซ็ค” เด็กสาววางเอกสารเกี่ยวกับวิทยาลัยดนตรีบนโต๊ะอาหารก่อนจะลุกขึ้นยืน “ลองเอาไปคิดดูนะ ฉันเองก็จะลองหาที่อื่นมาให้เธอตัดสินใจด้วย”

“บอนนี่…”

ยังไม่ทันได้แย้งเธอก็กอดคอเขาจากด้านหลัง พักปลายคางไว้บนศีรษะของเขา “ร้องเพลงคือชีวิตของเธอ ไอแซ็ค ฉันรอวันที่จะได้เป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งอยู่นะ” เธอเชิดปลายคางของเขาเพื่อให้แหงนหน้ามองก่อนจะจุมพิตลงบนหน้าผาก “เข้าใจไหม?”

“ฉันจะเอาไปคิดดู” ไอแซ็คตอบเพื่อให้เธอปล่อยเขาเป็นอิสระ

หลังจากที่บอนนี่เดินออกจากโรงอาหารไปแล้ว สายตาของเขาทอดมองยังเอกสารบนโต๊ะก่อนจะถอนหายใจออกมา เมื่อเขาเงยหน้ามองรอบข้างอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตา บอนนี่เป็นผู้หญิงที่มีใครหลายคนให้ความสนใจอยู่แต่เธอกลับเลือกที่จะไปไหนมาไหนกับเขาอยู่บ่อยครั้ง โดยที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาเต็มไปด้วยมิตรภาพที่ดีต่อกัน บอนนี่เป็นหนึ่งในบุคคลเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาเป็นเกย์ และเขาก็พอใจกับคนจำนวนจำกัดนี้

เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะยกถาดอาหารไปเก็บ ปลีกตัวออกจากการตกเป็นเป้าสายตา

ตั้งแต่พักเที่ยงเป็นต้นมา ดาร์เรนแทบไม่มีโอกาสได้ลุกจากที่นั่งไปไหน กระทั่งจะไปห้องน้ำก็ยังไม่ว่าง ทั้งงานเอกสารที่โถมมาในเวลาเดียวกันและโทรศัพท์ที่มาเป็นระยะ กาแฟเย็นที่ซื้อมาจากตอนเที่ยงก็ละลายจนสีจืดจางไม่น่าดื่ม

ข้อดีของงานที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมากทำให้เขาไม่มีเวลาไปนั่งคิดเรื่องอื่น แต่ข้อเสียคงร่ายทั้งวันได้ไม่หมด ที่แน่ ๆ คือเขาคงไม่ได้กลับบ้านตรงเวลาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็มีเพื่อนรวมงานเผชิญชะตากรรมนี้เป็นเพื่อน

“ดาร์เรน เสร็จแล้วไปดื่มกันเถอะ” เสียงชวนดังมาจากโต๊ะฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มมองนาฬิกาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็พบว่าเลยเวลาเลิกงานมากกว่าสองชั่วโมงแล้ว ถึงจะไม่ใช่คนชอบดื่มเป็นประจำแต่คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการสังสรรค์หลังงานที่โถมมาไม่หยุดแบบนี้ อีกอย่างเขาโทรศัพท์บอกแฟนไว้แล้วว่าจะกลับค่ำ

“ที่ไหนล่ะ” เขาตอบกลับโดยที่มือยังคงพิมพ์งานไปด้วย

“ผมรู้จักบาร์ในโรงแรมตรงหัวมุมถนน บรรยากาศดีแถมอาหารอร่อยด้วย”

“ไปด้วยค่ะ ได้ยินว่าช็อกโกแลตมูสกับแครมบรูเลของที่นั่นอร่อย” เสียงสดใสของเมเบิ้ลดังขึ้นทันที ชายหนุ่มอดแปลกใจกับความกระตือรือร้นของเธอไม่ได้ทั้งที่ทำงานหนักไม่แพ้กัน

ยี่สิบนาทีต่อมาพนักงานบริษัททั้งห้าชีวิตก็กำลังเดินไปตามถนนรีเจ้นท์สู่บาร์ในโรงแรมที่อัลเบิร์ตแนะนำ บรรยากาศด้านในเงียบสงบ ให้ความเป็นส่วนตัว มีเสียงเพลงเปิดคลอเบา ๆ แม้ไม่ใช่บรรยากาศการดื่มอย่างที่ดาร์เรนคิดไว้แต่ก็ได้พักผ่อนอย่างที่ต้องการ

พวกเขาสั่งอาหารและเครื่องดื่ม เริ่มเปิดบทสนทนาที่ห่างไกลจากการทำงาน นับเป็นครั้งแรกในรอบปีที่พวกเขาได้มีโอกาสมารับประทานอาหารร่วมกันแบบนี้โดยไม่มีงานมาเกี่ยวข้อง เนื่องจากรู้จักกันมานานจึงไม่มีความเก้อเขินในการพูดคุย แม้กระทั่งเมเบิ้ลซึ่งถือว่าเป็นเด็กใหม่และไม่เคยมาดื่มด้วยกันมาก่อนก็ยังเข้ากับเพื่อนร่วมงานที่อายุมากกว่าได้เป็นอย่างดี

“วาเลนไทน์ยังไม่มีแฟนเหรอ”

“อัล!” จิลเลียนขัดขึ้นทันทีก่อนจะหันไปทางสาวผมแดง “อย่าไปเชื่ออะไรที่เขาบอกมากนักนะ”

“พูดแบบนี้ได้ไง จิล”

เมเบิ้ลหัวเราะขึ้น เสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมงานดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากเสียงของดาร์เรน จิลเลียนเห็นแบบนั้นก็ทักขึ้น

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” คนถูกทักมองด้วยความสงสัย หญิงสาวถึงกับถอนหายใจ “ปกติเธอคุยเก่งนี่ ทำไมระยะหลังเอาแต่เงียบ ไม่ต้องบอกนะว่าเครียดเรื่องงาน เรื่องนั้นพวกเราพอเข้าใจอยู่”

ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่หวังให้เขาขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกทั้งนั้น การถูกคนรู้จักของเจ้าของบริษัทตัดหน้าทำเอาแต่ละคนผิดหวังไปตาม ๆ กัน

ชายหนุ่มเพียงแค่ยักไหล่ เขาแค่อยากดื่มโดยไม่ต้องพูดอะไรกับใครมากกว่า

“แอนนี่เป็นไงบ้างล่ะ” โรเจอร์เป็นฝ่ายถามขึ้น

“ก็ดี…ก็ดี” คำตอบของเขาทำเอาจิลเลียนหันมองหน้าเพื่อนร่วมงานอย่างขอความเห็น

“พวกนายก็คบกันมานานแล้ว ทำไมยังไม่แต่งงานกันอีกล่ะ” อัลเบิร์ตถาม เขาหันไปสั่งเตกิล่าเพิ่มให้ทุกคน

“เธอไม่อยากแต่ง…” เขาตอบ “ฉันเองก็ไม่อยาก…ล่ะมั้ง เราอยู่ด้วยกันมานาน บางทีอาจจะนานเกินไป…”

“เธอพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วดาร์เรน”

พนักงานนำเครื่องดื่มที่สั่งมาเสิร์ฟให้พอดี ดาร์เรนยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดช็อตอย่างรวดเร็ว เขาคว่ำแก้วลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง

“วันนี้เรามาดื่ม ถูกไหม”

“แต่พรุ่งนี้เราต้องทำงาน” เมเบิ้ลเอ่ยขึ้นเบา ๆ เธอปฏิเสธเหล้าที่อัลเบิร์ตสั่งมาให้ ยังคงดื่มด่ำอยู่กับแครมบรูเลของตน ดาร์เรนเป็นฝ่ายจัดการเหล้าแก้วนั้นให้

มันคงดีกว่าหากเขาไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไร ทั้งงาน ทั้งความรัก ทุกอย่างล้วนเป็นปัญหาสำหรับเขา ปัญหาที่เขาคิดไม่ตก ใบหน้าของเด็กหนุ่มเจ้าของหูฟังสีแดงแวบเข้ามาในหัวสมองครู่หนึ่ง แม้แต่เรื่องนั้นก็ยังเป็นปัญหาสำหรับเขา

ดาร์เรนกลับถึงบ้านด้วยรถแท็กซี่ แม้จะไม่ได้เมามากมายขนาดสิ้นสติ กระนั้นการทรงตัวก็เป็นเรื่องยาก ชายหนุ่มใช้เวลามากกว่าปกติในเดินเข้าบ้านตัวเอง

ภายในมืดมิดมีเพียงแสงไฟสีส้มจากโคมไฟตั้งโต๊ะเปิดค้างไว้ จากความเงียบนี้คงสรุปได้ว่าแอนนี่นอนหลับไปแล้ว เขาพาร่างของตัวเองขึ้นไปยังชั้นบน เดินผ่านเตียงนอนที่มีร่างแฟนสาวนอนหลับอยู่ เขามองใบหน้าเธอในความมืดอยู่ครู่หนึ่งและยังคงจดจำวันแรกที่เจอเธอได้อย่างขึ้นใจ มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ชายหนุ่มครุ่นคิดว่ารอยยิ้มของเธอในตอนนั้นกับตอนนี้มีอะไรที่แตกต่างไป ความรู้สึกที่เขามีให้เธอในตอนนั้นกับขณะนี้มีอะไรผิดแปลกไป ไม่ใช่แค่เขาที่เกิดความรู้สึกนี้ขึ้น แม้แต่แอนนี่เองก็คงคิดแบบเดียวกัน ทุกครั้งที่มองหน้าเธอราวกับมีคำถามบางอย่างค้างคาใจอยู่ คำถามที่พวกเขาต่างเลี่ยงที่จะเผชิญหน้า

ชายหนุ่มเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา ชำระร่างกายให้สะอาด สวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น นาฬิกาตั้งโต๊ะในห้องนอนบอกเวลาเที่ยงคืน เขาควรนอนพักผ่อนเพื่อให้ตื่นไปทำงานในวันรุ่งขึ้นได้ แต่เขากลับเดินออกจากห้องตรงไปยังห้องทำงานของตน เปิดโน้ตบุ๊คให้พร้อมใช้งาน ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็พบเว็บไซต์ที่ตัวเองตามหา

เสียงกีตาร์ดังขึ้นแผ่วเบาพอให้เขาได้ยิน ตามมาด้วยเสียงร้องที่สร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ดาร์เรนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมหลับตาลง เสียงของไอแซ็คกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่เขาต้องได้ยินก่อนนอน น้ำเสียงนุ่มนวลกลั่นกรองถ้อยคำของบทเพลงออกมาได้อย่างซาบซึ้ง เขาสามารถทิ้งตัวเองให้ล่องลอยไปตามเสียงเพลงของอีกฝ่าย

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาอีกครั้งยามที่บทเพลงจบลง เขาลากนิ้วลงบนแป้น เลื่อนหน้าจอลงมาด้านล่างจนเห็นลิ้งค์ทวิตเตอร์ของอีกฝ่าย ดาร์เรนไม่ได้ใช้โซเชียลเนตเวิร์คใด ๆ เป็นพิเศษ แม้จะรู้จักก็ตาม

ภาพที่ไอแซ็คใช้เป็นรูปด้านข้างของตัวเองกำลังแหงนหน้าขึ้นด้านบนโดยเห็นเพียงปลายคางไล่มาจนถึงลำคอโดยมีหูฟังสีแดงคล้องอยู่ ดาร์เรนเผลอกลืนน้ำลายลงคอ เปลี่ยนท่านั่งบนเก้าอี้พลางเลื่อนดูข้อความล่าสุดของอีกฝ่ายที่เพิ่งทวีตเมื่อไม่กี่นาทีก่อน มันเป็นลิ้งค์ของเว็บไซต์แห่งหนึ่งพร้อมคำว่าไลฟ์ปรากฏอยู่ตรงหน้า

ดาร์เรนกดเข้าไปยังลิ้งค์ดังกล่าว เพียงแค่ช่วงอึดใจเดียว ใบหน้าของไอแซ็คก็ปรากฏขึ้นบนจอในระยะประชิด ดวงตาสีเขียวกำลังก้มมองบางอย่างที่ชายหนุ่มเข้าใจได้ว่าเป็นข้อความที่ปรากฏอยู่ด้านข้าง มันเป็นรายการสดและเด็กหนุ่มคนนี้กำลังพูดคุยอยู่กับผู้เข้าชม

“สวัสดีครับแคทเธอรีน” เสียงทักส่งผลให้คนมองใจเต้นแรง ดาร์เรนหันมองกล่องข้อความด้านข้างก็พบข้อความของแคทเธอรีนทักทายอีกฝ่ายไป การจะส่งข้อความได้นั้นจำเป็นที่จะต้องลงทะเบียนเข้าใช้ก่อน ดาร์เรนเลือกที่จะดูต่อโดยไม่ทำอะไรทั้งสิ้น

สายตาของเขาหันกลับไปมองจอ ผมสีบลอนด์ของไอแซ็คปรกลงหน้าผากเล็กน้อย อีกฝ่ายสวมเสื้อคอกลมสีเทา ด้านหลังเป็นผนังที่เขาพอมองออกว่าเป็นห้องนอนของอีกฝ่ายเพราะมันเป็นมุมเดียวกันกับบรรดาคลิปที่อีกฝ่ายอัพโหลดลงเว็บไซต์

ทั้งที่ดาร์เรนเคยเห็นไอแซ็คตัวจริงมาก่อน แต่การเห็นอีกฝ่ายผ่านช่องทางแบบนี้ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย

“ผมนอนไม่หลับก็เลยมาหาเพื่อนคุย พวกคุณก็ควรนอนกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

มีข้อความหนึ่งปรากฏขึ้น บอกไอแซ็คว่าตัวเองอยู่ LA และกำลังเดินทางกลับบ้าน ไอแซ็คคงจะเห็นข้อความนั้นเช่นกันถึงได้พูดขึ้น

“LA! ผมอยากไปที่นั่น เดินทางกลับบ้านดี ๆ นะ”

ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าหลายคนในช่องข้อความรู้จักอยู่แล้วว่าไอแซ็คเป็นใครและอาจคุยกับเขามานาน จะมีบ้างที่เข้ามาถามว่าเขาชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ทำอะไร ช่องของไอแซ็คอยู่อันดับที่สามในหมวดของนักดนตรี เขากล่าวขอบคุณทุกคนที่กดไลค์หรือกดเป็นแฟน ดาร์เรนสัมผัสได้ถึงความเป็นกันเองของอีกฝ่าย

Julia2004: ไอแซ็ค สบายดีหรือเปล่า ไม่เจอคุณในนี้ตั้งนาน ผมสบายดีครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เล่นยูนาวเท่าไร การบ้านเยอะมาก” เด็กหนุ่มอมยิ้ม “คุณสบายดีไหมจูเลีย”

ดาร์เรนลังเลว่าเขาควรสมัครสมาชิกเพื่อเข้าไปทักทายอีกฝ่ายดีหรือไหม แต่คำพูดของไอแซ็คทำเอาเขาหยุดชะงัก

“อา…เกี่ยวกับคน ๆ นั้น จูเลีย คุณความจำดีเกินไปแล้ว” สายตาของไอแซ็คมองอยู่บริเวณช่องข้อความสนทนา รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมุมปากทำให้ดาร์เรนต้องมองตามว่าอีกฝ่ายกำลังอ่านสิ่งใดอยู่

Julia2004: คุณรู้จักชื่อหรือยัง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรใช้คำว่าเขาหรือเธอ

Hannahhh: นี่พูดถึงคนในรถไฟกันใช่ไหม?? ไอแซ็ค เล่ามาาา

Mini_M: ร้องเพลงของ JB ให้ฟังหน่อย

Julia2004: ฉันไม่สนด้วยซ้ำว่าจะเป็นเขาหรือเธอ XD

Hannahhh: ถ้าฉันอยู่ลอนดอน ฉันจะลองขึ้นรถไฟตามหา 😉

“ถ้าคุณมาลอนดอน อย่าลืมแวะมาเลสเตอร์ สแควร์นะ”

Hannahhh: ไอแซ็คอย่าเปลี่ยนเรื่อง !

เสียงหัวเราะของไอแซ็คดังขึ้น มันทำปฏิกิริยากับอัตราการเต้นของหัวใจของดาร์เรนเป็นอย่างดี รวมถึงเรื่องที่คนในห้องกำลังพูดถึงกันสร้างความอยากรู้ให้กับเขาเป็นอย่างมาก  คนในรถไฟ นั่นจะหมายถึงใคร

Julia2004: ไอแซ็ครู้ไหม หลังจากได้ฟังเรื่องของคุณ ฉันฟังเพลง Imagination ได้ไม่เหมือนเดิม

จู่ ๆ ไอแซ็คก็หยิบกีตาร์ขึ้นมา เขาดีดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นทำนอง เสียงร้องที่ดังขึ้นเป็นเพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเนื้อเพลงกลับทำให้หัวใจของดาร์เรนเต้นแรง มันเป็นเรื่องราวของคน ๆ หนึ่งที่กำลังแอบรักคนที่เจอกันทุกเช้าแต่ไม่กล้าที่จะพูดออกไปเลยได้แต่จินตนาการว่ามีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้าง

เขารู้ได้ทันทีว่า คนในรถไฟ คนนั้นเป็นใคร

ไอแซ็คไม่ได้ร้องจนจบเพลงแต่ก็มากพอที่บอกอะไรหลาย ๆ อย่าง สายตาของดาร์เรนยังคงจับจ้องไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม รอยยิ้มที่ทำให้เขาหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดที่นั่งดูอีกฝ่ายอยู่แบบนี้ เพราะเขาล่วงรู้ความลับของอีกฝ่าย ความลับที่ไอแซ็คคงยังไม่ต้องการให้เขารู้

“โอเค จูเลีย ผมรู้จักชื่อคนนั้นแล้ว”

ดาร์เรนกดปิดหน้าต่าง ปล่อยให้หน้าจอปรากฏภาพพื้นหลังค้างไว้ เขาพับฝาโน้ตบุ๊คลงครึ่งหนึ่ง ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ถึงจะไม่ได้บอกชื่อ ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ดาร์เรนรู้ว่า คนนั้นที่อีกฝ่ายพูดถึงคือเขา

ก่อนหน้านี้ดาร์เรนคิดว่าตัวเองคงตื่นมาด้วยอาการเมาค้าง แต่ความเป็นจริงเขากลับนอนไม่หลับ หลังจากออกจากห้องทำงาน เขาหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาค้นหาเพลงที่ไอแซ็คร้องอีกครั้งและฟังเพลงนั้นซ้ำไปมากระทั่งเผลอหลับไป ทว่าไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขาก็รู้สึกตัวตื่น

ผมรู้จักชื่อคนนั้นแล้ว

รอยยิ้มของไอแซ็คในตอนนั้นยังคงติดตา มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

“อารมณ์ดีจังนะวันนี้” แอนนี่ทักขึ้น ชายหนุ่มไม่มีคำอธิบายให้จึงได้แต่ยืนสวมเสื้อโค้ตอยู่เงียบ ๆ “วันนี้ฉันกลับช้าหน่อยนะ ที่ทำงานชวนไปดื่ม…ไปด้วยกันไหม”

ดาร์เรนรู้จักเธอมานานพอที่จะรู้ว่าเมื่อไรที่เธอชวนจากใจกับเมื่อไรที่เธอชวนตามมารยาท

“ผมคงต้องเคลียร์งานต่อ เธอไปสนุกกับเพื่อน ๆ เถอะ”

ยามเช้าของพวกเขากลายเป็นช่วงเวลาที่ชวนกระอักกระอ่วน หากเป็นเมื่อก่อนทั้งเขาและเธอสามารถเดินเข้าไปสวมกอด หอมแก้ม หรือจูบปากได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่ระยะหลังมันกลับไม่ใช่ พวกเขาเพียงแค่ส่งยิ้มให้กันก่อนที่ดาร์เรนจะเดินออกจากบ้านไป

ชายหนุ่มมองประตูหน้าบ้านของไอแซ็คที่ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนอีกฝ่ายนอนกี่โมง เพราะเขาไม่สามารถดูไลฟ์ของอีกฝ่ายต่อไปได้ มันเป็นเรื่องไม่ถูกต้องแต่เขาก็ไม่สามารถลบเลือนสิ่งที่รู้ไปได้ ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรหากต้องเจออีกฝ่าย

ดาร์เรนถือแก้วกาแฟลงบันไดเลื่อนเข้าสู่สถานีรถไฟ ใจหนึ่งก็อยากคลาดกับไอแซ็ค แต่อีกใจเขาก็อยากเห็นอีกฝ่าย ยามที่เขาเดินมาถึงชานชาลาก็เห็นเด็กหนุ่มผมบลอนด์เจ้าของหูฟังสีแดงยืนรอรถไฟอยู่ก่อนแล้ว แม้อีกฝ่ายไม่ได้สวมหูฟังแต่เขาก็ลังเลที่จะเดินไปทัก เพลงที่อีกฝ่ายร้องก้องอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอด พยายามบอกตัวเองให้ทำตัวตามปกติ

“อรุณสวัสดิ์”

เด็กหนุ่มละสายตาจากโทรศัพท์มือถือในมือ ดวงตาสีเขียวแสดงความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่มุมปากจะยกยิ้ม

“อรุณสวัสดิ์ครับดาร์เรน”

“วันนี้ไปร้องเพลงเหรอ” ชายหนุ่มทักเมื่อเห็นกระเป๋ากีตาร์พาดอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่ม

“ครับ แต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานหรือเปล่า วันนี้อากาศหนาวเสียด้วย”

ดาร์เรนเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สวมถุงมือ เขายื่นแก้วกาแฟไปตรงหน้า ไอแซ็คมองด้วยความประหลาดใจ “ฝากถือหน่อยสิ”

เด็กหนุ่มรับแก้วกาแฟไปแบบงง ๆ ดาร์เรนถอดถุงมือหนังของตัวเองออกแล้วส่งให้อีกฝ่าย “สวมซะ”

“ม…ไม่เป็นไรครับ”

“เล่นกีตาร์ก็ต้องดูแลมือด้วยสิ”

“ผม…ไม่…ค่อย…” คำปฏิเสธของไอแซ็คไม่เป็นผลเมื่อดาร์เรนสวมถุงมือข้างหนึ่งให้เขาด้วยตัวเอง พอถึงขั้นนี้แล้วเด็กหนุ่มก็ไม่อยากขัด ส่งแก้วกาแฟคืนอีกฝ่ายแล้วรับถุงมืออีกข้างมาสวม แม้ขนาดจะใหญ่กว่ามือของเขาเล็กน้อยแต่ก็ให้ความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี “ไว้ผมจะรีบซักมาคืน”

“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มส่งยิ้ม

เนื่องจากรถไฟจอดเทียบชานชาลาพอดีพวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ทั้งสองยืนฝั่งตรงข้ามกันโดยเว้นระยะห่างของช่องประตูเอาไว้ ดาร์เรนดื่มกาแฟของเขาขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เหมือนไม่รู้ว่าควรเอามือของตัวเองไว้ที่ไหนจึงวางลงบนกระเป๋ากีตาร์ทั้งสองข้างแล้วจ้องมองอยู่อย่างนั้น

“สถานีต่อไปวอร์เรน สตรีท…”

เสียงประกาศทำให้ทั้งสองมองหน้ากัน ไอแซ็คพาดกระเป๋ากีตาร์ขึ้นบ่า ขยับปากบอกลาก่อนจะเดินออกจากรถไฟไป ชายหนุ่มมองตาม หัวสมองคิดถึงความเป็นไปได้ระหว่างเขาทั้งคู่

Leave a comment