Downfall CHAPTER TWO

CHAPTER TWO

ประตูสีฟ้าปรากฏขึ้นตรงหน้า นิโคลัสรู้ดีว่าตัวเองกำลังฝันอยู่หากแต่เป็นความฝันที่เขาไม่อาจควบคุมได้ ทั้งที่รู้ดีว่ามีอะไรรอเขาอยู่หลังบานประตูนั้นแต่สองเท้ายังคงก้าวขึ้นบันไดหน้าบ้าน พลักบานประตูเข้าไปด้านใน เขาอยากหันหลังกลับและถ้าเป็นไปได้ เขาอยากลืมตาตื่นตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ว่าในใจจะขัดขืนเพียงใดสองเท้ายังคงสาวตรงไปยังห้องครัว เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวเพราะรู้ว่าจะต้องเจอกับสิ่งใดหลังเคาน์เตอร์นั่น ทว่าเมื่อเขาไปถึงกับพบแต่เพียงความว่างเปล่า นิโคลัสไม่รู้ว่าควรโล่งใจหรืออย่างไรกันแน่

“กลับมาแล้วเหรอครับ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง เขาไม่นึกมาก่อนว่าตัวเองยังจดจำเสียงของชายคนนี้ได้ นิโคลัสหันไปทางต้นเสียงด้วยหัวใจพองโตแต่แล้วสิ่งที่พบเป็นเพียงความว่างเปล่า

“เจค” เขาเรียกขึ้นหากแต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ความกลัวกลับมาทักทายหัวใจขณะที่เขาตะโกนเรียกชื่อคนรักอีกครั้ง

“น…นิโคลัส” เสียงตอบกลับดังแว่วมาจากด้านหลัง เจ้าของชื่อรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เขาได้ยินเสียงลมหายใจหอบถี่ที่อัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัว

ยามที่นิโคลัสหันไปทางเสียงเรียกเขาภาวนาขอให้เป็นเพียงความว่างเปล่าแต่คำขอนี้กลับไม่เป็นผลเมื่อเขาเห็นร่างของคนรักกำลังถูกคนร้ายล็อคตัวจากด้านหลัง ปลายมีดจ่ออยู่ที่ลำคอ เขาจำหน้าฆาตกรได้ดีแม้วันพิจารณาคดีเขาจะไม่ได้ไปเข้าร่วมก็ตามแต่ตอนตำรวจมาแจ้งข่าวให้ทราบ รวมทั้งเห็นภาพในโทรทัศน์เขาก็ไม่มีวันลืมหน้าตาของผู้ชายคนนี้ไปได้เด็ดขาด

“นิโคลัส ผ…ผมขอโทษ…”

สิ้นเสียงอันแผ่วเบาของคนรัก ชายคนนั้นก็ยกมีดปาดคอเหยื่อของตนอย่างไม่ใยดี เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้องครัว หยดเลือดกระเด็นเข้าหน้านิโคลัสที่ได้แต่มองตาค้าง เขาไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเจคถูกฆ่าได้อย่างไร ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นอกเสียจากตัวคนร้ายเอง แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาจะเป็นเพียงแค่ความฝันกระนั้นก็ยังโหดร้ายเกินไป

ร่างของเจคนอนจมกองเลือดอยู่ตรงที่ๆ เขาพบศพอีกฝ่าย นิโคลัสนั่งลงข้างๆ คนรักมองดูดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างไร้ซึ่งวิญญาณอยู่ภายใน เมื่อไหร่ที่เขาจะหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ เมื่อไหร่ที่เขาจะหยุดเห็นภาพนี้ได้เสียที ทั้งที่มีความทรงจำมากมายยามที่ใช้ชีวิตร่วมกันเหตุใดสมองของเขาจึงจดจำได้แค่เพียงช่วงเวลาอันแสนโหดร้ายนี้เท่านั้น

นิโคลัสสะดุ้งตื้นขึ้นมาจากฝันร้าย เขาพยายามลุกขึ้นนั่งพร้อมหายใจหอบ ครู่หนึ่งที่เขาสงสัยว่าตัวเองอยู่ที่ใดก่อนสติจะกลับมาทำงานตามปกติและพบว่าเป็นห้องพักของตนในโรงแรม

“ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งนะครับ อย่าเพิ่งรีบร้อน” เสียงที่ดังขึ้นทำเอาหัวใจคนฟังหล่นไปถึงตาตุ่มก่อนพบว่าเป็นเทรเวอร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงที่คอห้อยสเต็ทโตสโคปไว้ให้ความรู้สึกว่าเป็นหมอจริงๆ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

“คุณหมดสติอยู่ตรงทางเดิน แพทริคกับเคซี่ช่วยกันพาคุณมาที่ห้อง” นายแพทย์หนุ่มเล่า

“เธออยู่นี่ตลอดเลยเหรอ”

“เปล่าครับ ผมตรวจคุณนายปีเตอร์สันเสร็จถึงมาหาคุณ” ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือ “นี่ก็สองชั่วโมงได้ คุณหลับไปนานทีเดียว”

เมื่อเอ่ยถึงคุณนายปีเตอร์สันขึ้นมา นิโคลัสก็จำสาเหตุที่ทำให้เขาหมดสติลง ถึงเทรเวอร์จะพูดต่อว่าไม่แปลกที่จะเป็นลมเมื่อต้องเห็นภาพเช่นนั้น แต่เขาไม่ได้หมดเรี่ยวแรงเพราะสภาพของร่างไร้วิญญาณที่เห็นในวันนี้

“เธอแจ้งตำรวจหรือยังล่ะ”

“เรื่องนั้น…” จู่ๆ เทรเวอร์ก็มีสีหน้าลังเลขึ้นมาทำให้เขาต้องถามย้ำอีกครั้ง ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนตอบ “เราติดต่อตำรวจไม่ได้ครับ โทรศัพท์มือถือไม่มีสัญญาณ ส่วนสายโทรศัพท์ของโรงแรมก็ถูกตัดขาด”

“ถูกตัดขาด” เขาทวนคำอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ครับ รถยนต์ที่จอดตรงลานก็ถูกเจาะยางจนหมด”

“นี่มันหมายความว่ายังไง” นิโคลัสถามด้วยสีหน้าตกตะลึง คุณหมอหนุ่มส่งยิ้มบางก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนครับ ตอนนี้ผมต้องตรวจคุณก่อน ขอโทษนะครับ” คำขอโทษเหมือนเป็นการพูดตามพิธีเท่านั้น เพราะเทรเวอร์ไม่ได้รอให้เขาตอบรับหรือปฏิเสธแต่สอดมือเข้าใต้เสื้อฟังเสียงหัวใจเขาทันที “ทีนี้ลองหายใจเข้าเต็มปอดนะครับ… เอาล่ะหายใจออกได้ ขอบคุณครับ”

ดวงตาสีดำหรี่มองเมื่อเห็นสีหน้าไม่เชื่อถือของนิโคลัส เขาพูดขึ้นพร้อมเก็บสเต็ทโตสโคปลงกระเป๋า “ถึงผมจะเรียนอยู่กับศพแต่ผมก็ตรวจคนเป็นได้นะครับ” ศาสตราจารย์ยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น เทรเวอร์เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเข้มงวดขึ้น “ผมแนะนำให้คุณไปตรวจอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลอีกทีนะครับ ผู้ชายวัย 40 ปีขึ้นไปเช่นคุณมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายอย่างครับถ้าไม่ดูแลสุขภาพให้ดี คุณดื่มเหล้า สูบบุหรี่หรือเปล่าครับ”

“ผมไม่สูบบุหรี่แล้วผมก็ไม่ได้ดื่มเป็นประจำ” นิโคลัสตอบรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในห้องตรวจเสียมากกว่าห้องพักในโรงแรม

“มีโรคประจำตัวไหมครับ” เขาส่ายหน้า อีกฝ่ายจึงถามต่อ “ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีหรือเปล่าครับ”

“ผลการตรวจของผมปกติดีทุกอย่าง ที่นี้เล่าต่อได้หรือยังกว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ขอโทษครับ ศาสตราจารย์ นิสัยหมอก็แบบนี้แหละครับ” นายแพทย์หนุ่มอมยิ้ม “ศาตราจารย์อยากทราบเรื่องไหนก่อนเหรอครับ”

นิโคลัสมองคนถามด้วยสายตาติเตียนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เล่าทุกอย่างมาเลย

“คุณนายปีเตอร์สัน”

“คุณนายปีเตอร์สันเสียชีวิตมาแล้วอย่างน้อย  6 – 12 ชั่วโมง เวลาการตายคร่าวๆ คือเมื่อเช้าช่วงที่เราพยายามตามหาตัวเธอ”

“แล้วผู้ชายที่เป็นเจ้าของห้องล่ะ”

“เขาอ้างว่าไม่ทราบเรื่องอะไรทั้งสิ้นครับ ไม่รู้ว่าคุณนายปีเตอร์สันมาอยู่ในห้องตัวเองได้อย่างไร” เทรเวอร์เล่า “แต่แฮริสันก็คุมตัวเขาแยกกับคนอื่นเพื่อสอบถามต่อครับ ส่วนเรื่องที่คุณนายปีเตอร์สันตายรู้กันแค่คนที่พบศพเท่านั้น เรื่องที่เราติดต่อภายนอกไม่ได้ก็เช่นกัน แฮริสันไม่อยากให้แขกแตกตื่นตอนนี้”

นิโคลัสพยักหน้ารับด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“มีอะไรเหรอครับ ศาสตราจารย์”

“เธอเชื่อคำพูดของคุณเลสเตอร์หรือเปล่า”

คนถูกถามมองด้วยสีหน้าประหลาดใจก่อนตอบ “ผมรู้สึกเหมือนเขาปิดบังบางอย่างไว้ แต่ตอนที่เขาพบศพสีหน้าท่าทางของเขาแสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจนไม่เหมือนคนที่จะเป็นฆาตกรได้ ศาตราจารย์มีความเห็นอย่างไรเหรอครับ”

เมื่อถูกถามกลับนิโคลัสก็ยิ้มขืน “ผมเป็นแค่อาจารย์สอนวรรณคดีจะออกความเห็นอะไรได้ล่ะครับ มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ตรงหน้านี้แล้ว”

“ผู้เชี่ยวชาญอะไรกันครับ” น้ำเสียงแดกดันของชายคนนี้กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้คนที่อีกฝ่ายดูหมิ่นก็คือตัวเอง “ผมเพิ่งจบปีหนึ่ง ปีนี้ต่างหากที่จะได้มีโอกาสลงภาคสนาม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยซ้ำไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างที่คุณพูดหรอกครับ ดังนั้นมันจะดีมากถ้ามีคุณช่วยระดมความคิดอีกแรง”

ดวงตาสีดำจ้องมองอย่างรอคอย เขาหันมองทางอื่นเพื่อหลบเลี่ยงสายตาคู่นั้น

“ผมไม่รู้หรอกครับว่าใครเป็นคนลงมือแต่ที่ตัดการติดต่อของเราแบบนี้แสดงว่าจะต้องลงมืออีก”

“ฆาตกรต่อเนื่องเหรอครับ”

พอได้ยินเช่นนั้นหัวใจของนิโคลัสเหมือนเต้นผิดจังหวะไป ชายที่ฆ่าคนรักของเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องเช่นกันทว่าคนๆ นั้นถูกจับไปแล้วไม่ใช่เหรอ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนเดียวกัน แต่ถ้ามีฆาตกรเช่นนั้นอยู่จริงที่นี่ก็ไม่ปลอดภัย

“ถ้าเรารู้ว่าคุณนายปีเตอร์ตายเพราะเรื่องอะไร เราอาจหาตัวคนร้ายได้ คุณปีเตอร์สันพอรู้อะไรไหม” เขาถามด้วยสีหน้าจริงจังแต่อีกฝ่ายกลับมองตอบพร้อมรอยยิ้มยียวนเหมือนเด็กๆ

“ศาตราจารย์คุณต้องชอบอ่านนิยายสืบสวนสอบสวนมากแน่ๆ คุณพูดเหมือนตัวเอกในนิยายพวกนั้นเลย”

ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างกับคำพูดนั้นเมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินจากชายอีกคน นิโคลัสยิ้มขืน เทรเวอร์สังเกตสีหน้าคู่สนทนาด้วยความสนใจ

“ตอนนี้คุณปีเตอร์สันยังไม่พูดอะไรครับ ยังช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่” คุณหมอหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด “วิธีที่คนร้ายใช้มันเจาะจงเกินไป”

“ตริตรองไว้ก่อน”

“ครับ ถึงอย่างนั้นก็บ้าบิ่นเช่นกัน คงจะมั่นใจในตัวเองสูงว่าจะไม่โดนจับ แต่ที่ผมติดใจคือทำไมถึงเลือกวิธีตัดลิ้นแล้วยังปักมีดไปแบบนั้น”

“คุณนายปีเตอร์สันตายเพราะถูกตัดลิ้นเหรอ”

“เพราะเสียเลือดมากครับ” เขาตอบ “เท่าที่ดูไม่มีบาดแผลภายนอกอื่นๆ แต่ผมผ่าชันสูตรไม่ได้ ทำได้แค่สังเกตจากภายนอกนี่แหละครับ”

“เธอทำได้ดีมากแล้วต่างหาก”

คนฟังหันมองเมื่อได้ยินประโยคนั้น

“ผมไม่ได้พูดเพื่อต้องการคำปลอบใจนะครับ”

“ผมกำลังชมเธอนะ” นิโคลัสอธิบายเมื่ออีกฝ่ายตีความหมายผิดอย่างสิ้นเชิง เทรเวอร์แค่ยักไหล่รับแบบไม่จริงใจ ท่าทางเช่นนั้นสร้างความสนใจให้กับศาสตราจารย์อย่างบอกไม่ถูก

“กลับเข้าเรื่องดีกว่าครับ ผมตอบได้แค่สิ่งที่เห็นถ้าอยากรู้เพิ่มเติมคงต้องรอให้ทั้งสองฝ่ายพูด การที่คุณนายปีเตอร์สันอยู่ที่ห้องนั้นมันไม่ใช่ความบังเอิญหรอกครับ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วแต่ถูกพบเป็นศพในห้องของชายคนอื่นที่เป็นเพื่อนร่วมงาน คุณปีเตอร์สันก็ไม่ได้เห็นเธอตั้งแต่เมื่อคืน”

คุณหมอหนุ่มเว้นช่องว่างไว้ให้ศาสตราจารย์เป็นฝ่ายตีความหมายเอง อีกฝ่ายคงไม่พูดเป็นนัยแบบนี้หากไม่มีหลักฐาน บางทีตอนตรวจสภาพศพของเธอทำให้เขารู้ก็เป็นได้ เพราะอย่างนั้นเลสเตอร์ถึงได้ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องเพื่อปกปิดเรื่องชู้สาวของตัวเอง แต่เรื่องนั้นจะทำให้ชายคนนี้เป็นฆาตกรได้หรือเปล่า ถ้าใช่เขาทำเพื่ออะไรและเหตุใดถึงต้องขังแขกที่เหลือในนี้ด้วย

“การที่เรายังอยู่ในนี้ถือว่าอันตรายมากนะ” นิโคลัสพูดขึ้น

“ครับ แต่เราก็ไปไหนไม่ได้” สายตาชายหนุ่มหันมองออกไปนอกหน้าต่าง “พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว จะให้ทุกคนเดินเท้าผ่านป่าเพื่อไปโบกรถที่ถนนเส้นหลักไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่ อีกอย่างถ้าทุกคนออกไปจากที่นี่ได้แล้วเราจะไม่มีวันรู้เลยว่าใครเป็นฆาตกร สิ่งสำคัญในตอนนี้ต้องหาตัวคนร้ายให้ได้แต่เราต้องระวังไม่ให้แขกคนอื่นรู้ว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น”

“ให้รู้ไว้ไม่ดีกว่าเหรอ” นิโคลัสเสนอ

“แฮริสันไม่อยากให้แขกแตกตื่นตอนนี้ครับ เรารอจนกว่าจะรู้เรื่องมากกว่านี้ก่อนแถมยังมีเรื่องงานแต่งอีก”

คำพูดของชายหนุ่มทำให้นิโคลัสนึกถึงหลานสาวของตนขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงแต่นั่นทำให้เขาฉุกคิดได้อย่างหนึ่ง

“คนที่พักที่โรงแรมนี้มีแต่แขกที่มางานแต่งใช่ไหม” เทรเวอร์พยักหน้า พยายามไล่ตามความคิดคนพูด “แบ่งออกเป็นครอบครัวและเพื่อนเคซี่ ครอบครัวและเพื่อนของแพทริคและกลุ่มผู้บริหารในบริษัทแคมป์เบล คนร้ายย่อมเป็นใครคนใดคนหนึ่งในนี้ที่มีความแค้นต่อคุณนายปีเตอร์สัน”

“ความแค้นเหรอครับ”

“เธอพูดเองนี่ว่าคนร้ายเจาะจงใช้วิธีนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความแค้นจะเรื่องอะไรได้”

ทั้งคู่ตกอยู่ในห้วงความคิด นิโคลัสไม่ใช่คนชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยนแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ใกล้ตัวเขาเกินไปจนไม่อาจนิ่งเฉยได้ เขาทำอะไรไม่ได้ตอนที่คนรักถูกฆ่าตายทว่าคราวนี้เขาเชื่อว่าตัวเองจะช่วยได้ อย่างน้อยมันคงทำให้เขารู้สึกดีกว่านี้

เทรเวอร์ก้มหน้าใช้ความคิดแต่แล้วปฏิกิริยาของศาสตราจารย์ก็ดึงดูดความสนใจของเขา มีบางอย่างที่เขายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับชายคนนี้ คนที่ทำตัวเหมือนตัดขาดจากคนอื่นแต่กลับสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างมากกว่าที่เห็น ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเป็นแววตาของผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนักในขณะเดียวกันก็ซ่อนความโดดเดียวไว้ภายใน

เสียงเคาะประตูทำเอาทั้งสองหลุดจากภวังค์ของตน เทรเวอร์เป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูให้และพบว่าเป็นเคซี่

“เธออยู่นี่ตลอดเลยเหรอ” หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจก่อนหันมองเจ้าของห้องที่นั่งอยู่บนเตียง เธอยิ้มบางเมื่อเห็นเขารู้สึกตัวแล้ว “เป็นอย่างไรบ้างคะ ลุงนิค”

“ดีขึ้นแล้วล่ะ” เขาตอบ มองหลานสาวด้วยความเป็นห่วง สีหน้าของเธอกลับมามีชีวิตชีวาบ้างเล็กน้อยเขาจึงเบาใจไปได้บ้างกับความเข้มแข็งของเธอ

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัว” เทรเวอร์เอ่ยกับเคซี่ด้วยน้ำเสียงกระด้างแบบไม่แสดงออกถึงความรู้สึกก่อนหันมาทางนิโคลัส “เจอกันตอนอาหารเย็นครับ ศาสตราจารย์”

หญิงสาวมองดูอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไปก่อนถึงได้ถามขึ้น

“เขาพูดจาอะไรไม่เข้าหูบ้างหรือเปล่าคะ คุณลุง”

นิโคลัสส่ายหน้าถึงบางครั้งน้ำเสียงอีกฝ่ายจะไม่ไพเราะเท่าไรนักแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่เก็บเรื่องพวกนี้มาคิดมากอยู่แล้ว หญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจก่อนจะลงที่เดิมที่เทรเวอร์นั่งก่อนหน้านี้

“ถึงจะหยิ่งไปหน่อยแต่ก็นิสัยดีกว่าที่คิดนะคะ เมื่อก่อนเขามีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่านี้ แต่พอมีบางอย่างเกิดขึ้นที่ส่งผลต่อความรู้สึกก็ทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงได้” คนฟังรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังพูดถึงตัวเองมากกว่านายแพทย์คนนั้น “ประมาณปีก่อนพี่ชายของเขาเสียชีวิตและเทรเวอร์ก็เป็นคนพบศพหลังจากกลับมาจากมหาวิทยาลัย เขาถูกฆ่าตายด้วยคนร้ายคนเดียวกันกับที่…”

“ฆ่าเจค”

ถึงหลานสาวของเขาเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อแต่นิโคลัสก็เติมต่อทันที เคซี่พยักหน้าก่อนจะเล่าต่อ

“เหตุการณ์นั้นทำให้เขาตัดสินใจเรียนต่อนิติเวชวิทยา วันๆ ขลุกอยู่กับหนังสือ ถึงตั้งใจเรียนจะเป็นเรื่องดีก็เถอะแต่หนูว่ามันก็มากเกินไป เขากลายเป็นคนเก็บตัวไม่พูดไม่จา ช่วงนั้นแพทริคก็กังวลเหมือนกันว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า ดูเหมือนการผ่าศพจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นสงบได้” นิโคลัสสัมผัสได้ความรู้สึกกังวลในประโยคท้าย เขามองหน้าหลานสาวตัวเองก่อนที่เธอจะพูดต่อ “มีคนแนะนำให้เขาพบจิตแพทย์เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือกับการสูญเสียคนในครอบครัวไปอย่างกะทันหันขนาดนั้น แต่เทรเวอร์ก็ไม่ยอมไป”

เคซี่สบตาคุณลุงของเธอ เขาอ่านสายตาเช่นนั้นออกเพราะตัวเขาเองก็ไม่ยอมพบจิตแพทย์หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น นิโคลัสเข้าใจว่าทำไมเทรเวอร์ปฏิเสธการพบแพทย์ ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกสูญเสียนี้ได้และไม่มีใครช่วยเยียวยาความเจ็บปวดนี้นอกเสียจากตัวเอง

“เขารู้เรื่องของลุงด้วยเหรอ” นิโคลัสถามขึ้นเพราะนั่นอธิบายได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงอยากรู้จักเขา

“เปล่าค่ะ แพทริคไม่น่าเล่าให้ใครฟัง” เธอตอบก่อนยิ้มบาง “เลิกพูดเรื่องที่ทำให้หดหู่ดีกว่า แค่นี้บรรยากาศข้างล่างก็ตึงเครียดพอแล้ว ถึงแขกยังไม่รู้ความจริงแต่การที่พวกเขาคิดว่ายังไม่เจอตัวคุณนายปีเตอร์สันก็ทำให้เสียขวัญได้เหมือนกัน” เธอพูดพร้อมลุกขึ้นยืน “คุณลุงพักผ่อนต่อเถอะค่ะ เจอกันตอนอาหารเย็นนะคะ”

“คุณปีเตอร์สันกับคุณเลสเตอร์พูดอะไรแล้วบ้างหรือยัง”

หญิงสาวที่กำลังเดินออกจากห้องต้องหันกลับมาเมื่อได้ยินคำถามนี้ เธอสาวเท้าเข้าใกล้เตียงอีกครั้งพร้อมยกมือท้าวเอวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมสั่งฟังแล้วคล้ายกับภรรยาของเรย์นาร์ดเหมือนกัน

“ไม่ใช่เรื่องที่ลุงนิคต้องกังวลนะคะ พักผ่อนเถอะค่ะ”

“แต่…โอเคครับ พักผ่อนๆ” เมื่อถูกสายตาดุดันของหลานสาวจ้องมองเข้า นิโคลัสก็ยอมแพ้และล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เขามองตามแผ่นหลังของเธอออกจากห้องไป หลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ

นิโคลัสลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง เขาไม่อาจข่มตาหลับได้ลง ภาพการตายของคุณนายปีเตอร์สันยังคงติดตา กลิ่นคาวเลือดติดปลายจมูกราวกับว่าเขายังคงอยู่ในห้องที่พบศพนั่น ไม่ว่าใครที่ได้พบเจอคงไม่อาจลบเลือนภาพนั้นไปได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน การฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมที่แสดงออกถึงความโกรธแค้นอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นคนร้ายยังแฝงตัวอยู่ในโรงแรมอย่างไม่ต้องสงสัย รอช่วงเวลาที่จะลงมือครั้งต่อไป

จู่ๆ กลิ่นคาวเลือดที่คิดว่าเป็นเพียงความรู้สึกตกค้างกลับรุนแรงขึ้นจนนิโคลัสต้องยกมือข้างหนึ่งปิดจมูก สายตาพยายามสอดส่องหาที่มา เขาชะโงกดูปลายเตียงก็พบเลือดสีแดงฉานค่อยๆ ไหลซึมเปลี่ยมพรมสีน้ำเงินให้เข้มขึ้นจากใต้เตียงไล่สู่ด้านนอกออกไปเรื่อยๆ หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ อุณหภูมิที่ฝ่ามือเริ่มลดต่ำลงแต่กลับมีเหงื่อไหลบนหน้าผาก ริมฝีปากแห้งผากกลืนน้ำลายได้อย่างฝืดคอ นิโคลัสต้องการหาที่มาของรอยเลือดนั่นทว่าใจหนึ่งก็กลัวกับสิ่งที่ต้องพบเจอ ในขณะที่ยังลังเลว่าจะก้มลงดูใต้เตียงดีหรือไม่นั้น ศาสตราจารย์ก็ตัดสินใจหันกลับไปที่เตียงก่อนจะพบร่างจมกองเลือดของคนรักนอนอยู่บนนั้น ที่ปากของเขามีมีดปักอยู่เหมือนกันคุณนายปีเตอร์สันไม่มีผิด

นิโคลัสสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยอาการเหงื่อแตกพลั่ก เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดพยายามรักษาอัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ เขานั่งอยู่อย่างนั้นรอกระทั่งตัวเองสามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ ทั้งมือและแผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อ พระอาทิตย์ยามใกล้ลับขอบฟ้าสาดแสงสีส้มผ่านหน้าต่างกระทบลงบนปลายเตียง ทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีอะไรอยู่ด้านหลังแต่เขากลับกลัวที่จะหันไปมอง

ศาสตราจารย์ลุกลงจากเตียงตรงเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายให้รู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง สภาพผ้าปูที่นอนบ่งบอกว่าเขาทุกข์ทรมานกับฝันร้ายแต่บนนั้นไม่ได้มีร่างของเจคอยู่แต่อย่างใด นิโคลัสทอดสายตามองยามแต่งตัว ปกติเขาก็ฝันร้ายเป็นประจำอยู่แล้ว การมาเจอเรื่องเช่นนี้เข้ายิ่งเพิ่มความน่ากลัวในฝันเป็นเท่าทวี บางทีคืนนี้เขาอาจต้องพึ่งยานอนหลับก็เป็นได้

เขาเดินผ่านห้องพักมาตามทางเดินก่อนจะหยุดยืนตรงบันไดพร้อมเงยหน้าขึ้นมอง แม้จะไม่สามารถเห็นห้องที่อยู่ชั้นบนได้แต่เขาก็จดจำสถานที่แห่งนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าที่ชั้นสี่มีแขกพักอยู่กี่ห้องกัน แล้วแฮริสันจะปกปิดคนพวกนั้นไปได้อีกนานแค่ไหน

เมื่อเข้ามาในห้องอาหาร เสียงเพลงจากลำโพงก็ดังเข้าสู่โสตประสาท ในเวลาเช่นนี้บทเพลงไพเราะอาจจะช่วยเยียวยาความรู้สึกในแง่ลบไปได้บ้าง เขาเห็นแฮริสันนั่งคุยกับภรรยาที่โต๊ะเดียวกันกับเรย์นาร์ดและอลิเซีย นอกจากเรื่องคุณนายปีเตอร์สันแล้วยังมีเรื่องงานแต่งที่พวกเขาต้องตัดสินใจ

“ลุงนิคคะ ทางนี้ค่ะ” เสียงเคซี่เรียกขึ้นจากโต๊ะข้างเคียงเชื้อเชิญให้เขาเข้าร่วม นิโคลัสยินดีที่จะนั่งโต๊ะนี้มากกว่าร่วมวงสนทนากับคนในครอบครัว

แพทริคนั่งติดกับเคซี่และเพื่อนๆ ของเขาก็นั่งถัดไปทว่ายังไม่เห็นวี่แววของเทรเวอร์

“ศาสตราจารย์ดีขึ้นแล้วหรือยังครับ” แพทริคสอบถามอาการด้วยความเป็นห่วง “ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมก็บอกผมได้เลยนะครับ”

“ขอบใจมากนะ” เขายิ้มบางแต่ไม่มีสิ่งใดที่นิโคลัสต้องการไปมากกว่าการกลับไปยังทาวน์โฮมสองชั้นของตน… ถ้าหากว่าเขาสามารถกลับไปที่นั่นได้จริง

“พอแม่รู้เรื่องก็เลยรีบปรึกษากับพ่อทันทีเรื่องงานแต่ง” หญิงสาวพูดขึ้นกับคุณลุงของเธอ “ถึงจะบอกให้เลื่อนงานแต่เราก็ออกไปไหนไม่ได้”

“ตอนกลางคืนอาจจะอันตรายแต่พรุ่งนี้อาจจะมีโอกาสก็ได้นะ” แพทริคปลอบคู่หมั้นของตนแต่น้ำเสียงของเขาไม่มั่นใจอย่างที่ควร

“เธอได้ยินที่เทรเวอร์พูดหรือเปล่า คนร้ายอาจจะลงมืออีกกับใคร ที่ไหน เมื่อไรก็ได้นะ”

“มันก็พูดไปเรื่อยอย่าเพิ่งคิดมากสิ” ถึงเจ้าตัวจะพูดเช่นนั้นแต่นิโคลัสก็สัมผัสได้ถึงความเห็นด้วยจากอีกฝ่าย ถ้าตั้งใจจะฆ่าคุณนายปีเตอร์สันแค่คนเดียวไม่จำเป็นจะต้องตัดทางหนีและการติดต่อจากโลกภายนอกแบบนี้ การกระทำเช่นนั้นบ่งบอกว่านี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น แต่ใครกันที่สั่งสมความแค้นถึงขนาดลงมือได้อย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้

“นายพูดแบบนั้นก็เหมือนหนีความจริงอยู่นั่นแหละ แพทริค” เทรเวอร์นั่งลงฝั่งตรงข้าม นิโคลัสอดไม่ได้ที่จะสำรวจอีกฝ่าย เขาคงกลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามา ชุดถึงได้ต่างไปจากเมื่อตอนกลางวัน เส้นผมดำสั้นยังคงเปียกปอนถูกเสยขึ้นอย่างลวกๆ ไม่เป็นทรงแต่ก็ไม่ได้ทำให้หน้าตาอีกฝ่ายขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและความมั่นใจในตัวเอง ดวงตาสีดำใต้กรอบแว่นสีเดียวกันมองผู้อื่นอย่างไม่สำคัญกระทั่งสายตาคู่นั้นหันมาทางศาสตราจารย์ รอยยิ้มมั่นใจผุดขึ้นที่มุมปากก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปคุยกับเพื่อนที่นั่งติดกัน

นิโคลัสมองไปยังโต๊ะรอบข้างแต่ไม่เห็นทั้งปีเตอร์สันและเลสเตอร์แขกในโรงแรมดูเหมือนจะไม่ได้สนใจที่ทั้งสองคนไม่อยู่ในห้องคงเพราะแฮริสันยังไม่ประกาศเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนอื่นรู้ ผู้ชายคนนั้นยังคงพูดคุยกับครอบครัวของเคซี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาหันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้า แม้กลิ่นและหน้าตาจะดึงดูดเพียงไรก็ไม่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารเท่าไรนัก เขาตักสลัดเข้าปากและเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนั่งตรงตำแหน่งที่มองเห็นเทรเวอร์ได้ชัดกว่าคนอื่น

“ขอโทษด้วยนะคะ ลุงนิค ทั้งที่ตั้งใจอยากให้คุณลุงมาพักผ่อนแต่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”  เคซี่พูดด้วยสีหน้าผิดหวัง

“ไม่ใช่ความผิดของหลานสักหน่อย อย่าคิดมากสิ ลุงดีใจที่ได้มานะ” เขาบีบมือเธอเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง

“ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะ” แฮริสันหยุดยืนระหว่างแพทริคและเคซี่ เขาโน้มตัวลงมาคุยเสียงค่อยเพื่อให้ได้ยินแค่สองคนกระนั้นก็ดังพอที่จะทำให้นิโคลัสได้ยินไปด้วย “พรุ่งนี้เช้าจะให้พนักงานออกไปข้างนอก อาจต้องเสี่ยงดวงกับการโบกรถที่ถนนสายหลักเพื่อแจ้งตำรวจ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยไว้แบบนี้”

ทั้งสองพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพียง

“ที่นี้ผมอยากจะวานเธอสองคนหน่อย” เจ้าของโรงแรมเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ผมรู้ว่าบรรยากาศตอนนี้ไม่ดีเท่าไรนักแต่อยากให้ทั้งคู่ช่วยเปิดฟลอร์เต้นรำหน่อย อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของแขกคนอื่นๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องนี้”

“ผมไม่คิดว่าเราควรทำเช่นนั้น” แพทริคแย้งด้วยความกังวล

“ไม่หรอก ให้พวกเขาได้สนุกกันหน่อยเถอะ” เคซี่พูดขึ้นก่อนหันไปทางพ่อของคู่หมั้น “แฮริสันคะ เรื่องงานแต่งจะเป็นอย่างไรเหรอคะ”

“เมื่อครู่ผมคุยกับเรย์นาร์ดและอลิเซียแล้ว เราไม่อยากยกเลิกงานแต่งแต่คงต้องรอดูสถานการณ์กันต่อไปก่อน ถ้าพรุ่งนี้ตำรวจมาเราอาจดำเนินงานแต่งต่อแต่คงใช้ที่นี่ไม่ได้”

“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ แฮริสัน”

เขายิ้มตอบให้เธอก่อนจะทันได้เดินกลับไปที่โต๊ะแพทริคก็ถามขึ้นด้วยคำถามที่นิโคลัสเองก็อยากรู้คำตอบ

“คุณปีเตอร์สันกับคุณเลสเตอร์พูดอะไรบ้างหรือยังครับ”

คนเป็นพ่อส่ายหน้า “คุณปีเตอร์สันยังอยู่ที่ห้องตัวเอง ส่วนคุณเลสเตอร์พ่อเปิดห้องที่ชั้น 3 ให้เขาพักไปก่อน พ่อสั่งให้พนักงานนำอาหารไปเสิร์ฟที่ห้อง ตั้งใจว่าหลังอาหารค่ำคงได้คุยกัน ผลชันสูตรเบื้องต้นก็คงพร้อมแล้วสินะ”

ประโยคท้ายเขาหันไปถามเทรเวอร์ที่นั่งถัดไปเล็กน้อย

“ครับ ถึงอย่างนั้นก็อาจคาดเคลื่อนได้เพราะผมไม่ได้ผ่าชันสูตร”

“ไม่เป็นไร ในนี้ก็มีเธอคนเดียวที่จะช่วยในส่วนนี้ได้”

เทรเวอร์เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น แฮริสันหันมองลูกชายอีกครั้งก่อนตบบ่าเบาๆ สองสามที

“อย่าทำให้เจ้าสาวหมดสนุกเสียล่ะ”

“ครับ” แพทริคยิ้มแห้ง มองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายเดินกลับไปที่โต๊ะ

เสียงเพลงในจังหวะเต้นรำดังขึ้นเพื่อปลุกบรรยากาศห้องอาหารให้มีชีวิตชีวา แม้สีหน้าของคู่บ่าวสาวไม่ได้มีความรู้สึกอยากสนุกแต่อย่างใดทว่าก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งในฐานะเจ้าของงานที่จะสร้างบรรยากาศหดหู่ให้ครื้นเครงขึ้น แพทริคเอ่ยขอคู่หมั้นเต้นรำ เมื่อคนในห้องอาหารเห็นทั้งคู่ออกไปด้านหน้าเวทีก็ทยอยตามไปสนุกด้วยกัน กระทั่งเรย์นาร์ดและอลิเซียเองก็ลุกออกไปเต้นรำเช่นกัน

โต๊ะของนิโคลัสมีแต่วัยหนุ่มสาวพวกเขาจึงชวนกันไปหน้าเวทีทำให้ในห้องมีชีวิตชีวากว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ศาตราจารย์เห็นเทรเวอร์ลุกจากที่นั่งแต่อีกฝ่ายไม่ได้ไปรวมวงเต้นรำกลับเดินมานั่งข้างเขาแทน

“ศาสตราจารย์ คุณกินข้าวไปนิดเดียวเองนะครับ คุณต้องกินเยอะกว่านี้นะครับเลือกของที่มีประโยชน์ด้วย สุขภาพจะได้แข็งแรง”

คนถูกทักหันมองหน้า รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้องตรวจที่มีชายคนนี้เป็นเจ้าของไข้

“ผมกินเยอะแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงดี”

“คนวัยเดียวกับคุณก็พูดอย่างนี้ทั้งนั้นล่ะครับว่าตัวเองยังแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม” น่าแปลกที่นิโคลัสไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกดูหมิ่นเหมือนครั้งแรกที่พวกเขาคุยกัน ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้เปลี่ยนวิธีการพูดสักนิด บางทีเขาอาจชินกับอุปนิสัยแบบนี้ของเทรเวอร์แล้วก็เป็นได้ “ดูสิผอมขนาดนี้จะมีแรงได้ไง ผมกำข้อมือคุณได้รอบเลยนะครับ”

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าเธอมือใหญ่เอง” เขาแอบลองเชิงเพื่อดูปฏิกิริยาคนตรงหน้า เทรเวอร์ยกยิ้มมุมปากพลางหัวเราะเสียงขึ้นจมูก

“คุณล้อเลียนผมเหรอครับ ศาสตราจารย์ อย่างคุณไม่เหมาะกับการพูดจาดูถูกคนอื่นหรอกครับ” คุณหมอหนุ่มจับมืออีกฝ่ายขึ้นมาทาบฝ่ามือกัน หัวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย แสร้งเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “มือผมใหญ่กว่าคุณจริงๆ ด้วย”

นิโคลัสชักมือกลับเมื่อตัวเองกลายเป็นฝ่ายถูกล้อ “กระเพาะผมเล็ก กินไม่จุเหมือนเธอหรอก”

“จริงครับจริง ก็คุณตัวเล็กกว่าผมเยอะนี่ครับ” เทรเวอร์อมยิ้มด้วยความพึงพอใจ

“ผมอายุมากกว่าเธอนะ”

ดวงตาสีดำหรี่มองยามที่เขายกเรื่องอายุขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาพร้อมถอนหายใจ

“ศาสตราจารย์ พอคุณเขินแล้วต้องยกเรื่องอายุมาขู่ผมเหรอครับ” นิโคลัสกำลังจะแย้งเรื่องความเขินแต่สายตาที่อีกฝ่ายมองมาก็ทำเอาเขาต้องกลืนคำพูดตัวเองลงคอ “ผมเห็นคุณมองมาทางผมตลอดเวลาที่กินข้าวเลยนะครับ”

คนเป็นผู้ใหญ่กว่าถึงขั้นรู้สึกเสียเส้นที่โดนผู้ชายคนนี้ทัก แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ออกในเมื่อมองอีกฝ่ายจริงๆ แม้ไม่ได้เจตนาก็ตาม

“เธอนั่งตรงข้ามผม สายตาผมก็ต้องมองทางนั้นบ่อยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” ศาตราจารย์ตอบแบบนักวิชาการ ก่อนจะถามกลับหวังเอาคืน “เธอบอกว่าผมมองบ่อย แสดงว่าเธอมองผมตลอดเวลาสินะ”

“ครับ”

คำรับสารภาพตอบกลับมาแบบไม่ต้องคิดทำเอาคนถามไปต่อไม่เป็น เขามองดวงตาสีดำผ่านเลนส์แว่นที่มองตอบด้วยสายตาที่บอกไม่ถูกว่าล้อเล่นหรือเอาจริง

“นพ. คาเวนดิช” เจ้าของชื่อมีสีหน้าแปลกไปเมื่อได้ยินเขาเรียกเต็มยศ “ผมไม่รู้ว่าเธอตั้งใจจะทำอะไร”

“คุณรู้” อีกฝ่ายแทรกขึ้นมาก่อนปล่อยให้นิโคลัสพูดต่อ

“ผมไม่รู้ว่าเธอตั้งใจจะทำอะไรแต่เธอควรสนุกกับคนรุ่นเดียวกันมากกว่านะ”

แวบหนึ่งที่เขาเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายก่อนที่ริมฝีปากจะฉีกยิ้มกว้าง

“เข้าใจแล้วครับ” ว่าแล้วเทรเวอร์ก็ลุกขึ้นเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนที่กำลังเต้นอย่างสนุกสนานด้วยจังหวะเพลงที่เปลี่ยนไป นิโคลัสได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำของอีกฝ่าย ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดถูกต้องแล้ว
นิโคลัสตัดสินใจเดินกลับห้องโดยปล่อยให้ความบันเทิงที่ห้องอาหารดำเนินต่อไป เขาเดินผ่านกรอบรูปขนาดใหญ่ตรงบันใดก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหมือนอากาศจะหนาวขึ้นกว่าเดิม ศาสตราจารย์ซุกมือลงกระเป๋าเสื้อสูทแล้วเดินขึ้นบันใดต่อ

ก่อนจะเลี้ยวไปทางห้องตัวเองก็นึกได้ว่าเลสเตอร์ย้ายลงมาพักที่ชั้นนี้ แขกที่อยู่ชั้นสี่เองก็ถูกย้ายลงมาชั้นสองและสามตามคำแนะนำของแฮริสันโดนอ้างว่าสภาพห้องของชั้นนั้นมีบางส่วนชำรุดต้องปิดซ่อมก่อน

นิโคลัสตัดสินใจเดินไปยังห้องพักของเลสเตอร์แทน เขาไม่รู้ว่าเป็นห้องไหนเพราะแฮริสันไม่ได้พูดถึงแต่จากทางเดินเขาเห็นแสงไฟจ้าลอดมาจากห้องเกือบสุดทาง เมื่อเข้าไปใกล้ก็พบว่าประตูห้องถูกเปิดค้างไว้

“คุณเลสเตอร์” นิโคลัสเรียกพร้อมเคาะประตูตามมารยาท เขามองเข้าไปด้านในก็ไม่พบร่างของอีกฝ่าย มีเพียงถาดอาหารวางอยู่บนโต๊ะ

ศาตราจารย์ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องตั้งใจจะตรงไปยังส่วนของห้องนอนแต่หางตาของเขาเห็นบางในห้องน้ำจึงหันไปทางนั้นก่อนพบร่างของเลสเตอร์นั่งคุกเข่าหน้าอ่างอาบน้ำโดยที่ศีรษะจุ่มลงไปในนั้น

นิโคลัสรีบเข้าไปหวังดึงอีกฝ่ายขึ้นมาจากอ่างที่เต็มไปด้วยน้ำ เขาทำได้แค่จับตัวก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงตะโกนเข้ามา

“ดิฉันมาเก็บถาดอาหารค่ะ กรี๊ดดด!!!” เธอหวีดลั่นเมื่อหันมาเห็นเขาในห้องน้ำพร้อมกับร่างของเลสเตอร์ที่หัวปักอยู่ในอ่าง

“เดี๋ยวครับ ไม่ใช่อย่างนั้น” นิโคลัสพยายามห้ามแต่สายเกินไปเมื่อแม่บ้านคนนั้นวิ่งออกจากห้องไปก่อนแล้ว

เขาหายใจหอบแรงเมื่อรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น ศาสตราจารย์กำลังหันศีรษะกลับมายังร่างของเลสเตอร์ ในจังหวะที่สายตามองผ่านอ่างล้างมือเขาก็ถึงกับเผลอกลั้นหายใจ เมื่อเห็นลูกตาทั้งสองวางอยู่บนอ่างจ้องมองมาทางเขาหรือพูดให้ถูกคือทางร่างของเลสเตอร์

ใบหูจับเสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งมาที่ห้องนี้ แฮริสันคือคนแรกที่ปรากฏสู่สายตา เมื่อเห็นสภาพในห้องน้ำก็ถึงกับเบิกตากว้าง

“แฮริสัน”

“ศาตราจารย์แบรดลีย์ ผมขอเชิญให้คุณออกห่างจากร่างคุณเลสเตอร์ด้วยครับ” อีกฝ่ายแทรกขึ้นไม่เปิดโอกาสให้เขาได้อธิบายสิ่งใด

“แฮริสัน ผมไม่ได้…”

“ศาตราจารย์ ผมคงต้องขอให้คุณอยู่แต่ในห้องพักไม่ให้ไปไหนทั้งสิ้นจนกว่าเราจะตรวจศพคุณเลสเตอร์เสร็จ”

“คุณลุงไม่ได้ฆ่าใครนะคะ” เสียงเคซี่แย้งขึ้น แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรอีกเทรเวอร์ก็แทรกตัวเข้ามาในห้องน้ำ

“ยังไงก็พาเขาขึ้นจากน้ำก่อนเถอะครับ” ชายหนุ่มตรงไปยังร่างตรงหน้า เมื่อดึงศีรษะพ้นน้ำเขาถึงกับตกใจจนสะดุ้ง “นี่มันคุณปีเตอร์สันนี่ครับ”

คำพูดของคุณหมอดึงความสนใจจากทุกคนในห้องให้หันมอง

“ดวงตาเขายังอยู่ครบทั้งสองข้าง” เทรเวอร์เอ่ยพร้อมหันมองหน้าแฮริสันและนิโคลัสก่อนที่สายตาของทุกคนจะไปหยุดลงที่ลูกตาปริศนาสองข้างบนอ่างล้างมือนั่น

Leave a comment